คลินิกกายภาพบำบัด บางพลัด MRT สิรินธร

เอ็นฝ่าเท้าอักเสบ-รองช้ำ อาการเป็นอย่างไร

เอ็นฝ่าเท้าอักเสบ (Plantar Fasciitis) เป็นอาการที่เกิดขึ้นเมื่อเนื้อเยื่อช่วงล่างของเท้าที่เรียกว่าเอ็นฝ่าเท้า (plantar fascia) ถูกบิดเบือนหรืออักเสบ โดยส่วนมากจะมีอาการเจ็บปวดใต้เท้า โดยเฉพาะที่ส้นเท้า พบได้บ่อยที่สายเอ็นฝ่าเท้าประสาทหน้า (medial plantar nerve) และส่วนของเอ็นฝ่าเท้าที่ต่อกับกระดูกส้นเท้า อาการอักเสบนี้สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งเฉพาะด้านหน้าเท้าหรือทั้งสองข้าง เป็นโรคที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะในเพศหญิงซึ่งผู้ป่วยมักมีอาการเจ็บส้นเท้า และมักเป็นมากในตอนเช้าเมื่อลุกจากเตียงโดยอาการมักเป็นๆ หายๆ และเป็นมากขึ้นตามลักษณะการใช้งานการอับเสบจะเกิดขึ้นที่เอ็นบริเวณส้นเท้าต่อเนื่องไปจนถึงเอ็นร้อยหวาย

Read More

ปวดเข่า เข่าบวม วิธีรักษา

การปวดเข่าและเข่าบวมอาจเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น การบาดเจ็บ เป็นพาหะ การออกกำลังกายหนัก หรือภาวะอักเสบของเข่า การรักษาที่ถูกต้องจะขึ้นอยู่กับสาเหตุและระดับความรุนแรงของอาการ ดังนั้นการปรึกษาแพทย์เพื่อการวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้องจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง

อย่างไรก็ตาม มีบางวิธีที่สามารถช่วยบรรเทาอาการปวดเข่าและเข่าบวมได้ดังนี้

  1. พักผ่อนและประคบเย็น พักผ่อนและไม่ให้ใช้เข่าเกินไป โดยเฉพาะหลังจากมีการบาดเจ็บหรือออกกำลังกายหนัก ประคบเย็นบริเวณเข่าด้วยน้ำแข็งหรือกระดาษชำระที่แช่น้ำเย็นได้ช่วยลดอาการบวมและปวดเข่า
  2. การออกกำลังกายแบบอ่อนๆ การออกกำลังกายแบบอ่อนๆเช่น การเดินเร็วหรือการวิ่งบนระบบวิ่งอย่างอ่อนๆ ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและเข่า
  3. การใช้สายรัดเข่าและอุปกรณ์ช่วยเหลือ การใช้สายรัดเข่าหรืออุปกรณ์ช่วยเหลืออื่นๆ เช่น เข่าเทป หรือเข่าเสริม ช่วยลดการเคลื่อนไหวของเข่าและบรรเทาอาการปวดเข่า

    การบริหารกล้ามเนื้อต้นขาเป็นวิธีที่ดีในการป้องกันและบรรเทาอาการปวดเข่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับเข่า ดังนี้

    1. กางเข่าเป็นมุม 90 องศา
    • นั่งบนเก้าอี้ หรือพื้น
    • ยกเท้าขึ้นมาให้ตรงกับเข่า
    • ยืดเท้าออกจากก้นเท้าและดันเข่าลงไปยังพื้น ค้างไว้สักครู่ แล้วค่อยๆ ยกเข่าขึ้น
    • ทำซ้ำจนครบ 10 ครั้ง
    1. การยกเท้าขึ้นลง
    • นั่งบนเก้าอี้
    • ยกเท้าขึ้นจนสูงขึ้นไปตรงกับเข่า
    • ค้างไว้สักครู่แล้วค่อยๆ ลงเท้าลงพื้น
    • ทำซ้ำจนครบ 10 ครั้ง
    1. การเดินเหยียดขา
    • ยืนตัวตรง
    • เหยียดขาทั้งสองข้าง และยกสูงขึ้นไปสูงสุดที่เป็นไปได้
    • ค้างไว้สักครู่แล้วค่อยๆ ลดขาลง
    • ทำซ้ำจนครบ 10 ครั้ง
    1. การยกส้นเท้าขึ้น-ลง
    • นั่งบนเก้าอี้
    • ยกส้นเท้าขึ้นไปจนสูงขึ้นไปสูงสุดที่เป็นไปได้
    • ค้างไว้สักครู่แล้วค่อยๆ ลดส้นเท้าลง
    • ทำซ้ำจนครบ 10 ครั้ง

การยืดออกกำลังกายแก้ปวดหลัง

 

การยืดเป็นท่าออกกำลังกายที่มีประโยชน์ในการบรรเทาอาการปวดหลังได้ดีเนื่องจากช่วยเหยียดเส้นเอ็นทรัพย์ ลดความตึงของกล้ามเนื้อและเพิ่มความเชื่อมั่นในร่างกาย นี่คือวิธีที่คุณสามารถทำได้

  1. ยืดหลังด้านบน (Upper back stretch)
  • นั่งตัวตรง ให้มือขวาเหยียดตรงไปข้างหน้า จากนั้นหันหัวไปทางขวาและเอาศอกซ้ายวางไว้บนเข่าข้างซ้าย
  • เอามือซ้ายไปจับข้อศอกข้างขวา และดันไปทางขวาลงจนกระทั่งคุณรู้สึกเหยียดเส้นเอ็นทรัพย์ ค้างไว้สัก 15-30 วินาที แล้วเปลี่ยนข้าง
  1. ยืดส่วนล่างของหลัง (Lower back stretch)
  • นั่งตัวตรง ให้เหยียดขาขึ้น แล้วยกขาขึ้นไปที่มุม 90 องศา
  • เอามือซ้ายวางไว้บนเข่าข้างซ้าย และใช้มือขวาบีบเอาเข่าข้างซ้ายเข้าหาลำตัว
  • ค้างไว้สัก 15-30 วินาที แล้วเปลี่ยนข้าง
  1. ยืดส่วนกลางของหลัง (Mid-back stretch)
  • นั่งตัวตรง ให้งอเข่าและวางเท้าไว้บนพื้น
  • เอามือไปจับเข่าทั้งสองข้าง และดันไปด้านหลังจนกระทั่งคุณรู้สึกเหยียดเส้นเอ็นทรัพย์
  • ค้างไว้สัก 15-30 วินาที

อาการไหล่ติด วิธีบริหาร และการรักษา

ไหล่ติดหรือ Frozen shoulder เป็นภาวะที่เกิดจากการอักเสบของเนื้อเยื่อที่อยู่รอบติดต่อกับข้อไหล่ เช่น กล้ามเนื้อ ถุงลมไหล่ และเกล็ดกระดูก สาเหตุของภาวะนี้ยังไม่เป็นที่ทราบอย่างแน่ชัด แต่มักเกิดจากการบาดเจ็บ อักเสบ หรือการใช้แขนหรือไหล่ในลักษณะที่ซ้ำซาก เช่น การทำงานที่ต้องสลับมือหรืองานที่ต้องใช้แขนหรือไหล่ในระยะยาวๆ โรคเบาหวาน และภูมิคุ้มกันบกพร่องก็เป็นสาเหตุของการเกิดภาวะนี้ได้

อาการของ Frozen shoulder ประกอบด้วย ปวดไหล่ ติดขัด หรือแขนไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ การวินิจฉัยการติดไหล่จะต้องพิจารณาจากอาการที่ผู้ป่วยเล่า รวมถึงการตรวจสอบจากแพทย์ ด้วยการวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของไหล่ และการทำภาพเอกซเรย์ หรือการใช้ MRI เพื่อวินิจฉัยขนาดของเนื้อเยื่อที่อยู่รอบติดต่อกับข้อไหล่

อาการของ Frozen shoulder ประกอบด้วย 3 ระยะ คือ

  1. ระยะแรก (ระยะอักเสบ) - ปวดไหล่เฉียบพลัน แขนเสียว และเลือดไหลออกมากขึ้น
  2. ระยะกลาง (ระยะติด) - แขนและไหล่หย่อน ไหล่ขยับได้น้อยลง ปวดเมื่อเคลื่อนไหว
  3. ระยะสุดท้าย (ระยะฟื้นตัว) - เริ่มเคลื่อนไหวได้มากขึ้น แต่ยังมีความจำกัด ปวดเมื่อเคลื่อนไหว

วิธีการรักษาโรคไหล่ติด (frozen shoulder) เนื่องจากเป็นภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อรอบข้อไหล่หดตัวและกดข้อไหล่เข้าด้วยกัน ทำให้เกิดอาการปวดและข้อไหล่หมุนหรือยกแขนไม่ได้ โรคนี้ไม่มีวิธีรักษาที่รวดเร็ว แต่มีขั้นตอนการรักษาตามด้านล่างนี้ที่สามารถช่วยบรรเทาอาการได้:

  1. การออกกำลังกาย: ออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อรอบข้อไหล่และปรับปรุงการหมุนและยกแขน คุณควรปฏิบัติการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและหยุดทันทีหากมีอาการปวด
  2. การฟื้นฟูและกายภาพบำบัด: การฝึกซ้อมและกายภาพบำบัดเพื่อช่วยเพิ่มการเคลื่อนไหวและลดอาการปวด การฝึกซ้อมที่แนะนำสำหรับโรคไหล่ติดรวมถึงการเหยียดตัว, การยกแขนที่ต่างกัน, การหมุนและการดันแขนขึ้น-ลง
  3. การใช้ยาและการฉีดสาร: สารแค็ปซูลไขมันอิ่มตัว (capsaicin) หรือสารสลายน้ำตาล (corticosteroid) อาจช่วยลดอาการปวดและอักเสบ อย่างไรก็ตาม การใช้ยาหรือการฉีดสารนี้อาจมีผลข้างเคียงบางอย่าง
  4. การผ่าตัด: กรณีที่รักษาด้วยวิธีอื่นไม่ได้ผล หรืออาการแย่ลง อาจต้องพิจารณาใช้วิธีการนี้ และอาจเป็นวิธีการสุดท้ายในการรักษา

 

กายภาพบำบัดเป็นอีกหนึ่งวิธีรักษาโรคไหล่ติด (frozen shoulder) ที่ได้รับการแนะนำอย่างกว้างขวาง ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อรอบข้อไหล่ ช่วยลดอาการปวดและเพิ่มการเคลื่อนไหวของข้อไหล่

กายภาพบำบัดสำหรับโรคไหล่ติดสามารถประกอบด้วยกิจกรรมต่างๆ ดังนี้

  1. การฟื้นฟูกล้ามเนื้อ: ปฏิบัติการฝึกซ้อมกล้ามเนื้อเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อรอบข้อไหล่ การฝึกซ้อมในรูปแบบการยืดและการกระตุ้นเส้นประสาทสามารถช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของข้อไหล่ได้
  2. การบริหารกล้ามเนื้อ: การฝึกซ้อมกล้ามเนื้อโดยเฉพาะในบริเวณไหล่ เช่น การยกแขนขึ้น-ลง การหมุนแขน หรือการดันแขนขึ้น-ลง เป็นต้น
  3. การกายภาพบำบัด: ปฏิบัติการกายภาพบำบัดโดยมีผู้ช่วยฝึกซ้อม อาจประกอบด้วยการอบรมเทคนิคการฝึกซ้อม การบริหารจัดการอาการปวด การใช้วิธีรักษาอื่นๆ เช่น การใช้แค็ปซูลไขมันอิ่มตัว (capsaicin) หรือสารสลายน้ำตาล (corticosteroid) อาการไหล่ติดสามารถใช้เครื่องมือให้การรักษาทางกายภาพ เช่น TECAR Therapy พร้อมกับการ Mobilization Technique เพื่อยืด และสร้างองศาการขยับข้อต่อได้เพิ่มมากขึ้น
  4. การนวด: การนวดเพื่อช่วยปรับปรุงการไหลเวียนเลือดและระบบลมหายใจ ที่ส่วนขอ

อาการ หมอนรองกระดูทับเส้นประสาท

Diagram showing pinched nerve in human illustration

โรคหมอนรองกระดูกกดทับเส้นประสาท (herniated disc, pinched nerve) มักจะมีอาการต่างๆ ขึ้นอยู่กับสาเหตุและที่ตั้งของการกดทับเส้นประสาท อาการที่พบบ่อยสุดคือ ปวดเมื่อเคลื่อนไหวหรือกดทับบริเวณที่เป็นปัญหา อาจมีอาการเสียวหรือชาบริเวณนั้น และมีผู้ป่วยบางรายที่มีอาการชามากขึ้นเมื่อนอนหรือนั่งเป็นเวลานาน

นอกจากนี้ อาการอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้แก่

  1. ชาในระบบประสาท: รู้สึกว่ามีไฟฟ้ากระพริบขึ้นมาในบริเวณที่กดทับเส้นประสาท รวมถึงอาจมีอาการชาบริเวณที่เป็นปัญหาเป็นเวลานาน
  2. อ่อนแรง: อาจมีอาการอ่อนแรงในส่วนของร่างกายที่เกี่ยวข้องกับเส้นประสาทที่ถูกกดทับ
  3. ชายาก: อาจมีอาการชายากในการเคลื่อนไหวในส่วนของร่างกายที่เกี่ยวข้องกับเส้นประสาทที่ถูกกดทับ
  4. ปวดเมื่อยืดตัว: อาจมีอาการปวดเมื่อยืดตัวหรือทำกิจกรรมที่เป็นการยืดส่วนที่เป็นปัญหา
  5. เดินได้ไม่ไกล มีอาการปวดชาลงไปถึงขาเหมือนเป็นตะคริวร่วมด้วย ต้องหยุดพัก แล้วจึงจะเดินต่อไปได้
  6. บางรายอาจมีปัญหาเกี่ยวกับการควบคุมการขับถ่าย

หากมีอาการเหล่านี้ควรปรึกษาแพทย์เพื่อการวินิจฉัยและการรักษา

การดูแลตัวเองสำหรับผู้ที่มีโรคหมอนรองกระดูกกดทับเส้นประสาท จะมีวิธีดังนี้

  1. ใช้ยาแก้ปวด: ใช้ยาประเภทต้านการอักเสบ (anti-inflammatory) เช่น อะซีโคลวิน หรือพาราเซตามอล เพื่อช่วยลดการอักเสบและปวดในส่วนที่เป็นปัญหา โดยควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยาเสมอ
  2. ปรับท่านอนหรือนั่ง: หากอาการปวดมีอาการเพิ่มขึ้นเมื่อนอนหรือนั่งเป็นเวลานาน ควรปรับท่านอนหรือนั่งให้ถูกต้อง เช่น นอนหรือนั่งในท่าที่ไม่เป็นตะแคง หรือใช้หมอนรองคอที่เหมาะสม
  3. ออกกำลังกายแบบน้อยๆ: การออกกำลังกายเบาๆ เช่น การเดิน การยืดกล้ามเนื้อ หรือการทำโยคะ จะช่วยลดการกดทับเส้นประสาทและเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับร่างกาย เน้นการเสริมสร้างกล้ามเนื้อรอบๆ หลังและหน้าท้องให้แข็งแรง
  4. ใช้วิธีเย็นร้อน: การประคบเย็นและร้อนสลับกันที่บริเวณที่เป็นปัญหา จะช่วยลดการอักเสบและปวดในส่วนที่เป็นปัญหา โดยสามารถใช้ผ้าเช็ดหน้าหรือถุงน้ำแข็งเป็นวิธีการประคบเย็น และผ้าร้อนหรือเครื่องทำความร้อนเป็นวิธีการประคบร้อน
  5. หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่เป็นต้นเหตุ: หากทราบว่ากิจกรรมใดที่เสี่ยงต่อการกระทบของกล้ามเนื้ออย่างหนัก
  6. ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น ไม่นั่งอยู่กับที่เป็นเวลานาน ๆ ติดต่อกันนานเกิน 1 ชั่วโมง หลีกเลี่ยงการก้มเงย ยกของหนักเป็นประจำ

หมอนรองกระดูกกดทับเส้นประสาท ห้ามกินอะไร

ไม่มีการแนะนำให้หลีกเลี่ยงการกินอาหารหรือเครื่องดื่มเฉพาะที่สำหรับผู้ที่มีโรคหมอนรองกระดูกกดทับเส้นประสาทโดยเฉพาะ อย่างไรก็ตาม การกินอาหารที่มีส่วนประกอบที่ทำให้เกิดการอักเสบเช่น อาหารไขมันสูงหรืออาหารที่มีการผสมผสานของส่วนประกอบที่มีความเสี่ยงสูงต่อการอักเสบ เช่น อาหารที่มีการใส่เครื่องเทศหรือวัตถุกันเสีย เป็นต้น อาจทำให้อาการเป็นไปได้ว่าแย่ลง ดังนั้น ควรลดหรือหลีกเลี่ยงการกินอาหารเหล่านี้ให้น้อยลงหรือเลิกกินเพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดอาการอักเสบและอาการปวดหรือผิดปกติที่เกิดขึ้นเพิ่มเติมได้

การรักษาด้วย Traction Therapy กับอาการหมอนรองกระดูกทับเส้น

Traction therapy หมอนรองกระดูกทับเส้นเป็นการรักษาอาการปวดหลังหรืออาการอื่นๆ ที่เกี่ยวกับกระดูกสันหลัง โดยการดึงรั้งส่วน Lumbar โดยการนอนบนเตียงที่สามารถขยับท่อนบนของร่างกายโดยชุดรัดตัวผู้ป่วยการดึง Lumbar เพื่อช่วยเปิดหรือขยายช่องระหว่างกระดูกสันหลังและลดการกดทับเส้นประสาท ทำให้ระบบประสาทส่วนกลางของร่างกายได้รับการผ่อนคลาย เพิ่มการไหลเวียนเลือดในบริเวณข้อกระดูก และลดความเสี่ยงที่จะเกิดอาการปวดหลังหรืออาการอื่นๆ ตามมา

การใช้ Traction therapy หมอนรองกระดูกทับเส้นนั้นต้องใช้ร่วมกับการปรับแต่งพฤติกรรมการใช้งานร่างกายและการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเพื่อป้องกันการเกิดอาการซ้ำในอนาคต นอกจากนี้การใช้ Traction therapy หมอนรองกระดูกทับเส้นยังต้องผ่านการประเมินและแนะนำโดยแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านการกายภาพบำบัดก่อนการใช้งานอย่างเหมาะสม และอย่างถูกต้องในแต่ละระยะเวลา

นิ้วล๊อก สาเหตุ อาการ การดูแลตัวเอง

นิ้วล๊อก

การหมดความไวต่อการสัมผัสของเนื้อเยื่อของนิ้วมือหรือนิ้วเท้าเรียกว่านิ้วล็อก (Trigger finger) สาเหตุสำคัญของโรคนี้เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงในเนื้อเยื่อรอบข้อนิ้ว โดยที่เนื้อเยื่อนี้มักเกิดการติดตัวกันหรือหดตัว ทำให้เกิดการหยุดชะงักในการเคลื่อนไหวของนิ้ว เมื่อพยายามงอหรือเหยียดนิ้วให้เหยียดตรง จะมีการสะดุดเป็นครั้งคราว และเมื่อเนื้อเยื่อหยุดติดตัวกันเพิ่มขึ้นนั้นจะทำให้มีการหลั่งสารน้ำเลี้ยงไม่เพียงพอ เนื่องจากเนื้อเยื่อมีการบวม อาการของนิ้วล็อกมักเกิดขึ้นในผู้ที่มีการใช้งานนิ้วมืออย่างต่อเนื่อง หรือในผู้ที่มีโรคเส้นเอ็นตับอักเสบหรือโรคระบบไตเสื่อมทราบถึงอาการนี้ได้บ่อยเพราะเกี่ยวข้องกับภาวะการติดเชื้อของเนื้อเยื่อต่างๆ ในร่างกาย

อาการของนิ้วล็อก (Trigger finger) จะมีลักษณะดังนี้

  1. ปวดเมื่องอนนิ้ว และปวดเมื่อใช้งานนิ้ว
  2. มีเสียงดังตอนงอหรือเหยียดนิ้ว
  3. นิ้วเหยียดไม่ออกเป็นปกติ หรือมีการสะดุดเป็นครั้งคราวตอนงอหรือเหยียด
  4. มีผื่นแดงหรือบวมเล็กน้อยบริเวณบริเวณข้อนิ้ว
  5. หากเนื้อเยื่อหยุดติดกันหนักขึ้น อาจเกิดอาการหยุดชะงักของนิ้วและต้องใช้มืออีกมือหรือใช้ความแรงเพิ่มเติมเพื่อเคลื่อนไหว

หากมีอาการดังกล่าวควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม โดยแพทย์อาจสั่งการฝึกอบรมการกดนิ้วและแนะนำการใช้แก้มนิ้วเพื่อช่วยลดอาการบวมและปวดของนิ้วล็อกได้บ้าง ในกรณีที่อาการรุนแรงและไม่ดีขึ้น อาจจะต้องพิจารณาการรักษาด้วยการผ่าตัด ซึ่งจะได้รับคำแนะนำและวิธีการดังกล่าวจากแพทย์ที่ทำการตรวจวินิจฉัยให้

Office Syndrome กับ อาการนิ้วล๊อก

การใช้สมาร์ทโฟนบ่อยๆ อาจทำให้เกิดอาการนิ้วล็อก (Trigger finger) ได้ โดยเฉพาะกับคนที่ใช้สมาร์ทโฟนในท่าที่ไม่ถูกต้อง เช่น การใช้นิ้วหัวแม่มือเพื่อกดปุ่มหรือแตะหน้าจออย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวซ้ำซ้อนในเมื่อเวลานาน และอาจทำให้เกิดการอักเสบของเนื้อเยื่อบริเวณข้อนิ้ว

การใช้สมาร์ทโฟนไม่ใช่สาเหตุหลักในการเกิดนิ้วล็อก แต่อาจเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดอาการนิ้วล็อก เพราะการใช้สมาร์ทโฟนตลอดเวลาสามารถทำให้มีการเคลื่อนไหวซ้ำซ้อนของนิ้วเป็นระยะเวลานานๆ

การป้องกันการเกิดนิ้วล็อกจากการใช้สมาร์ทโฟน สามารถทำได้โดยการใช้นิ้วหัวแม่มือหรือนิ้วก้อยที่ไม่ได้ใช้บ่อยมากในการกดปุ่มหรือแตะหน้าจอ รวมถึงการปรับเปลี่ยนท่าที่ใช้ในการใช้สมาร์ทโฟน โดยหลีกเลี่ยงการใช้สมาร์ทโฟนเป็นเวลานานๆ และมีการพักผ่อนนิ้วบ่อยๆ รวมถึงการฝึกท่าบริหารนิ้วเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อในพื้นที่ของนิ้วและข้อนิ้ว

การรักษานิ้วล๊อก (Trigger finger) สามารถทำได้หลายวิธี ซึ่งจะขึ้นอยู่กับความรุ่งเรืองของอาการ แต่วิธีการรักษาที่พบมากที่สุดคือการใช้ยาและการฝึกหัด ดังนี้

  1. การใช้ยา
  • ยาแก้ปวด: ช่วยบรรเทาอาการปวดและอาการอักเสบ ได้แก่ พาราเซตามอล หรืออีบูโพรเฟน
  • ยาต้านการอักเสบ: ช่วยลดการอักเสบ และช่วยเร่งการฟื้นฟูของเนื้อเยื่อ
  1. การฝึกหัด การฝึกหัดจะช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อและเพิ่มความยืดหยุ่นของเนื้อเยื่อ ซึ่งจะช่วยลดอาการนิ้วล๊อกได้ วิธีการฝึกหัด ได้แก่
  • การออกกำลังกายเบาๆ ด้วยการงอนิ้วมือ
  • การออกกำลังกายด้วยบีบนิ้วมือโดยใช้โฟมอ่อน หรือบริเวณอ่อนของเปลือกตะขอ
  1. การผ่าตัด กรณีที่อาการนิ้วล๊อกไม่ดีขึ้นหลังจากการใช้ยาและการฝึกหัด แพทย์อาจต้องพิจารณาการผ่าตัด โดยการผ่าตัดจะช่วยปลดปล่อยเนื้อเยื่อที่เป็นสิว และทำให้นิ้วล๊อกกลับมาทำงานได้ปกติ

การออกกำลังกายแก้ปวดหลัง

 

ปวดหลังเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยสำหรับผู้คนมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ใช้เวลานานกับการนั่งหรือทำงานที่โต๊ะทำงาน อย่างไรก็ตาม การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและมีท่าทางที่ดีสามารถช่วยป้องกันการเจ็บหลังได้ ต่อไปนี้คือเทคนิคการออกกำลังกายที่อาจช่วยป้องกันการเจ็บหลังได้

  1. สร้างกล้ามเนื้อคอร์ให้แข็งแรง: กล้ามเนื้อคอร์ของคุณรวมถึงกล้ามเนื้อท้องและกล้ามเนื้อหลังช่วยสนับสนุนกระดูกสันหลังของคุณและปรับปรุงท่าทางของคุณ การทำแผ่นซีด, แครัชและการยกหลังเป็นการออกกำลังกายที่ดีสำหรับการเสริมสร้างกล้ามเนื้อคอร์
  2. ยืดเข่า: เข่าที่แน่นและตึงอาจเป็นสาเหตุของการปวดหลังดังนั้น การยืดเข่าอย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญ คุณสามารถทำได้โดยตั้งตัวนอนหงายและใช้สายหรือผ้าเชือกดันเบา ๆ เข่าของคุณเข้าหาลำตัว
  3. รวมกิจกรรมออกกำลังกายที่มีผลต่อร่างกายต่ำ: การออกกำลังกายแบบกระชับเชิงสูงเช่นวิ่งและกระโดดอาจทำให้เจ็บหลัง ดังนั้นคุณควรลองกิจกรรมออกกำลังกายแบบกระชับเช่งสูงต่ำ เช่นเดินเรืองานฝึกสอนฟิตเนสหรือจักรยาน
    1. ใช้ท่าทางที่ถูกต้อง: เมื่อยกน้ำหนักหรือทำออกกำลังกายอย่างใดอย่างหนึ่ง สิ่งสำคัญที่สุดคือการใช้ท่าทางที่ถูกต้อง เพื่อหลีกเลี่ยงการกดดันที่ไม่จำเป็นต่อหลังของคุณ เช่นเมื่อยกน้ำหนัก ควรเอนตัวตรงและใช้ขาของคุณในการยก
    2. พักผ่อนและยืดตัวอย่างสม่ำเสมอ: หากคุณใช้เวลานานกับการนั่งที่โต๊ะหรือหน้าจอคอมพิวเตอร์ ควรพักผ่อนโดยยืนขึ้นและยืดหลังและขาของคุณ สิ่งนี้สามารถช่วยปรับปรุงการไหลเวียนโลหิตและป้องกันความแข็งของกล้ามเนื้อได้

    โดยจำเป็นต้องระมัดระวังเสมอว่าคุณควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ก่อนเริ่มการออกกำลังกายใหม่โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณมีประวัติของอาการปวดหลังหรือโรคอื่น ๆ