คลินิกกายภาพบำบัด บางพลัด MRT สิรินธร

Spondylolisthesis กระดูกสันหลังเคลื่อน

กระดูกสันหลัง

ทุกคนรู้หรือไม่ว่ากระดูกสันหลังเป็นอวัยวะที่สำคัญกับร่างกายที่ไม่ควรมองข้าม เนื่องจากกระดูกสันหลังเป็นส่วนที่ช่วยให้
การเคลื่อนไหวของร่างกายเริ่มตั้งแต่คอไปจนถึงหลังของก้น ซึ่งเป็นแกนกลางของลำตัวมีลักษณะเป็นข้อต่อที่มีหมอนรองกระดูก
แทรกอยู่แต่ละขั้น และมีเส้นประสาทอยู่มากมายทำหน้าที่คือป้องกันอันตรายให้แก่ไขสันหลัง เป็นแกนยึดร่างกาย เป็นที่ยึดเกาะ
ของกล้ามเนื้อต่างๆ เป็นส่วนที่ส่งสารออกของเส้นประสาทไปยังส่วนต่างๆของร่างกาย และให้ความสูง

โรคที่เกิดบริเวณกระดูกสันหลัง

  • โรคหมอนรองกระดูกเคลื่อนทับเส้นประสาท (Intervertebral Disc herniation)
  • โรคข้อต่อกระดูกสันหลังเสื่อมเคลื่อน (Facet Dislocation)
  • โรคช่องไขสันหลังตีบ (Spinal Stenosis)
  • การผิดรูปของกระดูกสันหลัง กระดูกสันหลังเคลื่อน (Spondylolisthesis)
  • กระดูกสันหลังคด (Scoliosis)
  • โรคมะเร็งกระดูกสันหลังหรือมะเร็งส่วนอื่นลามมาที่กระดูกสันหลัง
  • โรคกระดูกสันหลังติดเชื้อวัณโรคและแบคทีเรีย
  • โรคกระดูกสันหลังอักเสบ เช่น โรครูมาตอยด์

 

ในบางครั้งการใช้ชีวิตประจำวันของคนเรานั้นต่างกันอาจทำให้เรามองข้ามในบางพฤติกรรมที่ทำให้เสี่ยงหรืออันตรายกับกระดูกสัน
หลังของเรา ในบางอาชีพที่ยกของหนักอาจมีอาการปวดหลัง ปวดเอว ปวดหลังชาลงขา หรือปวดแปร๊บๆที่หลัง ในกรณีแบบนี้
ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจ X-ray และทำการรักษาในขั้นตอนต่อไป

พฤติกรรมเสี่ยงทำร้ายกระดูกสันหลัง

1.ยกของหนัก ยกของผิดท่า ก้มยกของโดยไม่ย่อเข่าลงและหลังไม่ตรง

2.นั่งท่าเดิมนานๆ ขาไม่งอ 90 องศา แขนไม่งอกับโต๊ะ 90 องศา นั่งหลังงอ ห่อไหล่ ไขว้ห้าง ซึ่งมักพบในกลุ่มคนทำงานหน้าคอม

  1. ก้มหน้าเล่นโทรศัพท์มือถือเป็นเวลานาน ทำให้กระดูกสันหลังต้องรับน้ำหนักคอ บ่า ไหล่

4.สะพายกระเป๋าหนักๆ ประจำ ส่งผลให้กล้ามเนื้อเกิดการอักเสบและหากเป็นระยะเวลานานๆก็อาจจะส่งผลต่อกระดูกสันหลังได้

  1. การนอนท่าที่ไม่ถูกต้อง นอนหมอนสุงเกินไปหรือการนอนบนที่นอนแข็ง ก็ส่งผลให้กระดูกสันหลังไม่เป็นเส้นตรง อาจเกิดผลข้างเคียงกับกระดูกสันหลังได้ในภายหลัง

Spondylolisthesis กระดูกสันหลังเคลื่อน

โครงสร้างปกติของกระดูกสันหลังจะเป็นข้อปล้องเรียงตัวต่อกัน ซึ่งแปลว่าภาวะกระดูกสันหลังเคลื่อนคือเกิดการเคลื่อนที่ผิดปกติไปจากการเรียงตัวเป็นแนวยาว ก็คือเคลื่อนตัวไปทางด้านหน้าด้านหลัง หรือด้านข้าง จึงเป็นสาเหตุทำให้มีอาการปวดบริเวณหลัง

อาการ

1.อาการปวด ตึง ที่กล้ามเนื้อขาด้านหลัง ปวดหลังช่วงล่าง ปวดบริเวณบั้นเอว ปวดบริเวณสะโพก แต่ละคนจะมีอาการปวดบริเวณที่แตกต่างกันไป

2.อาการปวดสะโพกร้าวลงขา

3.ปวดหลังร้าวลงสะโพกและขาถึงปลายเท้า

4.ปวดหรือชาบริเวณขา ต้นขา และสะโพก และอาจมีอาการอ่อนแรงร่วมด้วย

5.พบแนวกระดูกสันหลังโค้งมากเกินไป หรือพบแนวกระดูกสันหลังคดร่วมด้วย

6.กลั้นปัสสาวะหรืออุจจาระไม่ได้

การกายภาพบำบัด

การรักษาโดยกายภาพบำบัดจะช่วยลดอาการปวดหลังและอักเสบจากกระดูกสันหลังเคลื่อนดังนี้

  1. GBO เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าคลายกล้ามเนื้อหลัง ช่วยทำให้กล้ามเนื้อข้างแนวกระดูกสันหลังลดความตึงตัวลและ เครื่องอัลตร้าซาวด์ช่วยลดการอักเสบของกล้มเนื้อมัดใหญ่บริเวณแนวกระดูกสันหลัง
  2. HIGH POWER LASERช่วยลดการอักเสบของเส้นเอ็นของข้อต่อแนวกระดูกสันหลัง
  3. TRACTION เครื่องดึงหลังจะช่วยเพิ่มช่องว่างระหว่างกระดูกสันหลัง จัดแนวกระดูกสันหลังเคลื่อนไม่ให้เคลื่อนออกมามากขึ้น
  4. ใช้แผ่นประคบเย็นลดการอาการปวด บวม แดง ร้อนบริเวณที่มีกล้ามเนื้ออักเสบข้างแนวกระดูกสันหลัง
  5. PMS เครื่องแม่เหล็กไฟฟ้า จะช่วยฟื้นฟูเส้นประสาทที่โดยกดทับทำให้อาการชาและอ่อนแรงที่ขาดีขึ้น
  6. ใช้อุปกรณ์พยุงหลังใส่ในวันที่มีกิจกรรมการเดินนาน ยืนนานหรือนั่งติดต่อกันหลายชั่วโมง เพื่อให้กล้ามเนื้อหลังและแนวกระดูกสันหลังที่เคลื่อนได้พักการใช้งานในระยะที่อาการปวดรุนแรง
  7. ทำท่ากายบริหารเพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อช่วยพยุงข้อต่อให้ไม่เคลื่อนมากขึ้นภายใต้การดูแลของนักกายภาพบำบัด จะเป็นท่าที่ทำแล้วไม่ไปกระตุ้นการเคลื่อนที่ของกระดูกสันหลังและอาการปวดให้กำเริบมากขึ้น

ติดต่อเรา

Tel:098 225 2255

Facebook:Bangkok pain clinic คลินิกกายภาพบำบัด

Gmail:bangkokpainclinic@gmail.com

Website:bangkokpainclinic.com

 

โรคโพรงกระดูกสันหลังตีบแคบ (Spinal Stenosis) และ โรคหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อนกดทับเส้นประสาท หรือ Herniated Nucleus Pulposus(HNP)

โรคโพรงกระดูกสันหลังตีบแคบ (Spinal Stenosis)

เป็นโรคที่เกิดจากอาการเสื่อมของประดูกสันหลังหรือหมอนรองกระดูกสันหลัง ส่งผลให้เกิดพังผืดและกระดูกงอกทำให้โพรงเส้นประสาทแคบลง และบีบรัดบริเวณเส้นประสาทได้ มักพบอาการดังต่อไปนี้

-ปวดหลังร้าวลงสะโพกหรือขา

- มีอาการอ่อนแรงของขา

-มีอาการชาตาม ขาหรือเท้า

-อาการแย่ลงเมื่อเดินหรือยืนนานๆ หรือแอ่นหลังมากๆ

โรคหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อนกดทับเส้นประสาท หรือ Herniated Nucleus Pulposus(HNP)

โรคหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อน โรคที่เกิดจากการฉีกขาดของเยื้อหุ้มหมอนรองกระดูกสันหลังชั้นนอก ทำให้สารน้ำหรือส่วนไส้ชั้นในหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อนหรือปลิ้นออกมากดทับเส้นประสาทไขสันหลัง

อาการของโรคหมอนรองกระดูกเคลื่อน

จะแตกต่างกันออกไปตามตำแหน่งของเส้นประสาทที่ถูกกด โดยมีอาการหลักๆ ดังนี้

-ปวดร้าวตามเส้นประสาท

-ปวดหลังส่วนล่าง

-ชาตามเส้นประสาทที่ถูกกดทับ

-อ่อนแรงตามเส้นประสาทที่ถูกกดทับ

-งอตัวลำบาก งอหลังได้ไม่สุด

-ปวดเมื่อทำกิจกรรม เช่น ออกแรง ไอ จาม เบ่ง

-ปวดมากเวลานั่งนายๆ เช่น นั่งขับรถ

ปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรค

  • อายุที่เพิ่มมากขึ้น
  • พฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น ยกของหนัก ยกของผิดท่า เดินเยอะ
  • การบาดเจ็บบริเวณกระดูกสันหลัง เช่น การเกิดอุบัติเหตุที่รุนแรง
  • เนื้องอกหรือมะเร็งที่โตจนไปเบียดช่องไขสันหลัง

การรักษาทางกายภาพบำบัด

สามารถรักษาทางกายภาพบำบัดได้เพื่อรักษาอาการให้ดีขึ้น หรือป้องกันไม่ให้เกิดความรุนแรงของโรคมากกว่าเดิม หรือในผู้ที่ไม่อยากผ่าตัด

1.การใช้เครื่องมือทางกายภาพบำบัด เช่น

การดึง หรือ Traction

ช่วยยืดกล้ามเนื้อเพื่อคลายกล้ามเนื้อที่มีการเกร็งตัว ลดแรงกดที่ทำต่อข้อต่อของกระดูกคอหรือหลัง ลดการกดทับของเส้นประสาท โดยการดึงทำให้ช่องว่างระหว่างของกระดูกสันหลังกว้างขึ้น ลดแรงกดบนหมอนรองกระดูกสันหลังช่วยให้หมอนรองกระดูกกลับเข้าที่ได้ โดยทำให้ช่องว่างระหว่างกระดูกสันหลังกว้างขึ้น ส่งผลให้อาการปวดหรือชาลดลงได้

เครื่องกระตุ้นสนามแม่เหล็ก หรือ Peripheral Magnetic Stimulation (PMS) เครื่องกระตุ้นระบบประสาทด้วยการใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่สามารถกระตุ้นทะลุผ่านเสื้อผ้า ลงไปถึงเนื้อเยื่อและกระดูกได้ลึกประมาณ 10 ซม. คลื่นจาก PMS จะส่งคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ไปกระตุ้นที่เส้นประสาทโดยตรง มีการกระตุ้นเนื้อเยื่อบริเวณที่ปวด ทำให้เกิดการไหลเวียนโลหิตบริเวณกล้ามเนื้อดียิ่งขึ้น รวมถึงส่งสัญญาณคลื่นแม่เหล็กกระตุ้นแขน ขา บริเวณที่มีอาการชาหรืออ่อนแรง เร่งการฟื้นตัวของเส้นประสาทที่บาดเจ็บได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยรักษาอาการเจ็บปวด ได้ทั้งปวดเฉียบพลันและเรื้อรัง และยังมีกลไกการรักษาเป็นการกระตุ้นให้มีการซ่อมสร้างของเนื้อเยื่ออีกด้วย


2.Mobilization เป็นการเคลื่อนไหวข้อต่อโดยให้แรงที่เป็นจังหวะซ้ำๆในช่วงการเคลื่อนไหวของข้อต่อที่มีอาการติด หรือถูกจำกัดการเคลื่อนไหว จะใช้รักษาในกรณีที่ตรวจเจอว่ามีข้อติด (ดัดดึงข้อต่อ) หรือมีกล้ามเนื้อที่ต้องใช้มือช่วยคลายความตึง
3.การออกกำลังกายเฉพาะบุคคล เพื่อกระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อ เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว การยืดเหยียดกล้ามเนื้อ การบริหารเส้นประสาท
4.Home Program และการให้คำแนะนำต่างๆ โดยให้ท่าบริหารเฉพาะบุคคล และการแนะนำในการปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตต่างเพื่อป้องกันการเกิดความรุนแรงของโรคที่เพิ่มมากขึ้น

 

ติดต่อเรา

Tel:098 225 2255

Facebook:Bangkok pain clinic คลินิกกายภาพบำบัด

Gmail:bangkokpainclinic@gmail.com

Website:bangkokpainclinic.com

การทดสอบโรคปลอกหุ้มเส้นเอ็นข้อมืออักเสบ

ตรวจร่างกาย

Finkelstein’s test

เป็นการทดสอบเพื่อวินิจฉัยโรคปลอกหุ้มเส้นเอ็นข้อมืออักเสบ De Quervain’s disease ภาวะการณ์อักเสบเรื้อรังของเส้นเอ็นและปลอกหุ้มเส้นเอ็น เกิดจากการเสียดสีของเอ็นบริเวณนิ้วโป้ง เอ็นกล้ามเนื้อเหยียดนิ้วโป้ง Extensor pollicis brevis เอ็นกล้ามเนื้อกางนิ้วโป้ง Abductor pollicis longus และปลอกหุ้มเอ็นข้อมือ Extensor retinaculum ที่มากเกินไป จนเกิดการอักเสบและหนาตัวขึ้นของเส้นเอ็นและปลอกหุ้มเอ็น ทำให้ไม่สามารถเหยียดหรืองอนิ้วได้

สำหรับผู้ที่มีอาการ ปวด บวม แดง ร้อน ที่ข้อมือบริเวณโคนนิ้วโป้ง ปวดข้อมือมากขึ้นเมื่อมีการใช้ หรือ ขยับข้อมือ เช่น เวลาบิดลูกบิดประตู ใช้โทรศัพท์มือถือ หยิบจับสิ่งของ อุ้มลูก กลุ่มคนทำงานคอมพิวเตอร์ คนที่ชอบเล่นเกมส์ หรือ โทรศัพท์มือถือเป็นเวลานาน หรือ นักกีฬา ที่ต้องใช้ข้อมือเป็นหลัก นักกีฬาแบดมินตัน, ปิงปอง ,วอลเลย์บอล เป็นต้น

หลังจากการซักประวัติ และการตรวจร่างกายดำเนินมาถึงขั้นตอนเกือบสุดท้ายนักกายภาพมักทำการทดสอบเพื่อยืนยันว่าอาการปวดนิ้วโป้ง หรือบางรายอาจมีอาการปวดร้าวลงมาที่ข้อศอกได้ มาจากบาดเจ็บของเอ้นกล้ามเนื้อและปลอกหุ้มเอ็นหรือไม่ นักกายภาพบำบัดมักจะทำการทดสอบ ที่เรียกว่า Finkelstein’s test

โดยการตรวจประเมินมีขั้นตอนดังต่อไปนี้

1.เหยียดแขนตรง หันนิ้วโป้งขึ้นด้านบน

2.หักนิ้วโป้งเข้าหาฝ่ามือให้มากที่สุด

3.กำมือให้นิ้วที่เหลือทั้ง 4 นิ้ว อยู่เหนือนิ้วโป้ง

4.หักข้อมือลงไปทางด้านนิ้วก้อย

หากมีอาการปวดบริเวณโคนนิ้วโป้ง อาจมีการอักเสบของเอ็นกล้ามเนื้อ และปลอกหุ้มเอ็นกล้ามเนื้อได้

ผู้ที่มีอาการสามารถรักษาโดยการทำกายภาพบำบัด โดยการลดการอักเสบ ลดปวด และเร่งการฟื้นฟูเนื้อเยื่อที่ได้รับการบาดเจ็บ ด้วยเครื่องมือทางกายภาพบำบัด ไม่ว่าจะเป็น Laser , Shockwave , Radio Frequency , กระตุ้นไฟฟ้า ,Ultrasound และ PMS รวมถึงการออกกำลังการเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ การยืดกล้ามเนื้อเฉพาะมัด เพื่อป้องกันและลดโอกาสเกิดอาการอักเสบของเอ็นข้อมือได้

ติดต่อเรา

Tel:098 225 2255

Facebook:Bangkok pain clinic คลินิกกายภาพบำบัด

Gmail:bangkokpainclinic@gmail.com

Website:bangkokpainclinic.com

ภาวะไหล่ติดหรือFrozen shoulder

Frozen shoulder หรือภาวะไหล่ติด

ไหล่ติดเป็นภาวะที่มีการขยับข้อไหล่ได้น้อยลง โดยเริ่มจากน้อยๆเช่นไม่สามารถยกไหล่ได้สุดหรือไขว้หลังได้ไม่สุด หากไม่ทำการรักษาอาการจะเป็นมากขึ้นจนขยับได้น้อยลงกว่าเดิมหรือไม่ได้เลย

สาเหตุของข้อไหล่ติด

  • สาเหตุหลักคือการอักเสบของเนื้อเยื่อที่อยู่รอบข้อไหล่ ซึ่งเรียกว่า เยื่อหุ้มข้อไหล่ (Capsule) โดยปกติเยื่อหุ้มข้อไหล่จะค่อนข้างยืดหยุ่นและสามารถขยายหรือหดตัวตามการขยับของข้อไหล่ แต่เมื่อเกิดภาวะข้อไหล่ยึดติดขึ้น เยื่อหุ้มจะมีการอักเสบและหดตัวจนไม่สามารถยืดหยุ่นได้เหมือนเดิม ทำให้ขยับข้อไหล่ได้ลดน้อยลง และมีอาการปวดร่วมด้วยเสมอ
  • การบาดเจ็บที่ข้อไหล่ การกระแทก การขยับข้อไหล่เป็นเวลานาน การอักเสบของกล้ามเนื้อเอ็นรอบข้อไหล่ สามารถนำไปสู่การอักเสบของเยื่อหุ้มข้อไหล่ได้ทั้งสิ้น ซึ่งส่งผลทำให้ผู้ป่วยมีภาวะข้อไหล่ยึดติดในที่สุด

อาการข้อไหล่ติด

เกิดอาการปวดเจ็บตื้อๆ โดยอาการปวดจะเพิ่มขึ้นเมื่อมีการเคลื่อนไหว อาการเด่นชัดคือไม่สามารถขยับข้อไหล่ได้ มีอาการปวดเวลานอนทับ หรือเวลากลางคืน อาการของโรคมี 3 ระยะ ได้แก่

ระยะที่ 1 ระยะเจ็บปวด อาการปวดจะค่อยๆเพิ่มขึ้น อาจปวดแม้ไม่ได้ทำกิจกรรม ระยะนี้มักปวดนาน 6 สัปดาห์ – 9 เดือน มุมการเคลื่อนไหวของข้อไหล่ลดลง

ระยะที่ 2 ระยะข้อยึด อาการปวดระยะแรกยังคงอยู่ แต่จะปวดลดลง การเคลื่อนไหวของข้อไหล่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยทั่วไประยะนี้อาจนาน 4 – 9 เดือน หรือนานกว่านี้

ระยะที่ 3 ระยะฟื้นตัว อาการปวดจะลดลง และการเคลื่อนไหวข้อไหล่จะค่อยๆดีขึ้นในช่วง 5 เดือน – 2 ปี แต่อย่างไรก็ตามหากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ทำการรักษา บางรายอาจเกิดภาวะขยับแขนหรือข้อไหล่ไม่ได้อย่างถาวร จนต้องเข้ารับการผ่าตัดเพื่อแก้ไขปัญหา

การรักษาทางกายภาพบำบัดในผู้ป่วยข้อไหล่ติด

  • ซักประวัติ ตรวจร่ายกายอย่างละเอียด และวินิจฉัยโรคโดยนักกายภาพบำบัด
  • TECAR Therapy หรือการรักษาด้วยคลื่นวิทยุ เหนี่ยวนำให้เกิดความร้อนลึกลงไปยังกล้ามเนื้อและเยื่อหุ้มข้อไหล่ที่มีปัญหา เพื่อซ่อมแซมและคลายกล้ามเนื้อรอบข้อไหล่ที่แข็งเกร็ง อีกทั้งยังเพิ่มความยืดหยุ่นให้แก่เยื่อหุ้มข้อไหล่ชั้นลึกอีกด้วย ทำให้รู้สึกผ่อนคลายและลดอาการปวด
  • Mobilization หรือการดัดดึงข้อต่อ ยืดกล้ามเนื้อรอบข้อไหล่ เพื่อเพิ่มการเคลื่อนไหวของข้อไหล่ เพิ่มความยืดหยุ่นของเยื่อหุ้มข้อไหล่และกล้ามเนื้อบริเวณนั้น
  • Shockwave Therapy หรือการรักษาด้วยคลื่นกระแทก ช่วยคลายกล้ามเนื้อที่เกร็งตัวเป็นจุดกดเจ็บ ร่วมทั้งสลายพังผืด เพิ่มการไหลเวียนของเลือด เร่งกระบวนการซ่อมแซมของกล้ามเนื้อและเส้นเอ็น
  • High Power Laser Therapy หรือเครื่องเลเซอร์กำลังสูง สามารถลดอาการปวดอักเสบเฉียบพลัน กระตุ้นการซ่อมแซมเส้นเอ็นและเนื้อเยื่อ
  • การยืดกล้ามเนื้อ
  • การออกกำลังกายหรือท่าบริหารเฉพาะบุคคล
  • Home program (ยืดกล้ามเนื้อด้วยตนเอง+ออกกำลังกาย+ปรับพฤติกรรมและท่าทาง) เพื่อลดการบาดเจ็บของข้อไหล่ซ้ำๆ และเพิ่มองศาการเคลื่อนไหวของข้อไหล่