คลินิกกายภาพบำบัด บางพลัด MRT สิรินธร

หมอนรองกระดูกปลิ้นกดทับเส้นประสาท (Slipped disc : Herniated Disc)

หมอนรองกระดูกปลิ้นกดทับเส้นประสาท (Slipped disc : Herniated Disc)

หมอนรองกระดูกปลิ้น (Slipped disc) เป็นอาการที่เกิดขึ้นเมื่อกระดูกปลิ้นในกระดูกสันหลัง (vertebral column) ของมนุษย์มีเนื้อออกมาเบียดหรือทับเส้นประสาทที่ออกมาจากสมอง ซึ่งเนื้อที่ปลิ้นนี้อาจกดทับหรือทำให้เส้นประสาทเสียหาย สาเหตุของโรคนี้อาจเกิดจากการบาดเจ็บ การเคลื่อนไหวผิดปกติ

อาการ

1.ปวดในบริเวณที่มีการกดทับเส้นประสาท เช่น ปวดหลัง

2.รู้สึกระคายเคืองหรือมีอาการปวดหลังร้าวลงขา

3.แขนและขา รู้สึกอ่อนแรง

4.หากไม่มีอาการปวดหลัง อาจจะมีอาการชา โดยเฉพาะหากมีการเบ่งในขณะขับถ่าย

5.มีอาการปวดหลังร้าวลงขา และมีอาการชา รวมทั้งอ่อนแรง ร่วมกับภาวะท้องผูก และปัสสาวะไม่ออก

 

การวินิจฉัย อาจใช้รังสีเอ็กซ์เรย์หรือการซักประวัติและการตรวจร่างกายโดยแพทย์ การรักษาอาจแตกต่างกันขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ การตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) จะทำให้แพทย์สามารถวางแผนการรักษาผู้ป่วยได้ เพราะ MRI สามารถเห็นโครงสร้างของหมอนรองกระดูกสันหลังและเส้นประสาทได้ชัดเจน และเห็นว่ามีการกดทับเส้นประสาทที่ตำแหน่งใดในกรณีที่อาการรุนแรง อาจจำเป็นต้องรักษาผ่าตัดเพื่อลดการกดทับเส้นประสาทและเอาเนื้อแพลงออก แต่การตัดผ่าจะพิจารณาในกรณีสุดท้าย ควรให้แพทย์และทีมแพทย์ตรวจรักษาอย่างละเอียดกับผู้ป่วยก่อนที่จะตัดผ่าหากมีความจำเป็น

 

วิธีรักษา Slipped disc หรือ Herniated disc

อาจแตกต่างกันไปตามความรุนแรงของอาการและความเสี่ยงของผู้ป่วย แพทย์จะกำหนดวิธีการรักษาที่เหมาะสมตามอาการแต่ละราย วิธีการรักษาอาจ

1.การพักผ่อน: การพักผ่อนช่วงแรกอาจช่วยลดอาการปวด แพทย์อาจแนะนำให้ผู้ป่วยหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่เสี่ยงนระยะเวลาการฟื้นตัว

2.การใช้ยา: แพทย์อาจสั่งยาแก้ปวดหรือยาต้านการอักเสบเพื่อควบคุมอาการปวดและอักเสบในระหว่างการรักษา

3.การฝังเข็ม: บางครั้งการฝังเข็ม (acupuncture) หรือการใช้เข็มเจาะที่จุดที่เฉพาะเจาะจงบนร่างกายอาจช่วยในการบรรเทาอาการปวด

4.การกายภาพบำบัด: การบำบัดกายภาพที่ดูแลโดยนักกายภาพบำบัดมืออาจช่วยเพิ่มความแข็งแรงความคงทนของกล้ามเนื้อและกระดูกสันหลัง นอกจากนี้บางครั้งแพทย์อาจแนะนำการใช้เครื่องมือทางฟิสิกส์ เช่น TENS (Transcutaneous Electrical Nerve Stimulation) หรือ ULTRASONIC ช่วยในการบรรเทาอาการปวดและส่งผลดีต่อรักษา 

5.การผ่าตัด: กรณีที่อาการรุนแรงและไม่ตอบสนองต่อการรักษาแพทย์อาจพิจารณาใช้การผ่าตัด เพื่อเอาเนื้อแพลงที่ทรุดหรือส่วนที่ปลิ้นออกมาออก

6.การแพทย์แผนโบราณ: บางครั้งการใช้แพทย์แผนโบราณอาจช่วยในการรักษา การใช้ยาสมุนไพรธรรมชาติ การทำโยคะ หรือการบริหารตัวเองที่บ้าน

การเลือกวิธีการรักษาจะขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการและคำแนะนำของแพทย์ ผู้ป่วยควรปรึกษากับแพทย์เพื่อให้ได้วิธีการรักษาที่เหมาะสมและปรึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพส่วนตัวเพื่อป้องกันการทรุดหรือแผลเป็นหย่อมในอนาคต

 

การกายภาพบำบัด

การกายภาพบำบัดเป็นวิธีที่มักถูกแนะนำในการรักษา Slipped disc หรือ Herniated disc อย่างเป็นทางการ การกายภาพบำบัดมุ่งเน้นที่การฟื้นฟูและเสริมระบบกล้ามเนื้อและกระดูกในของร่างกายเพื่อช่วยลดอาการปวดและเพิ่มความคงทนในระยะยาว

1.การประเมิน: การบำบัดกายภาพจะเริ่มต้นด้วยการประเมินสภาพร่างกายของผู้ป่วยโดยนักกายภาพบำบัดที่มีความเชี่ยวชาญ การประเมินนี้จะช่วยในการกำหนดแผนการรักษาที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย

2.การบริหารกล้ามเนื้อ: การฝึกซ้อมเพื่อเสริมกล้ามเนื้อหลังของร่างกาย เฉพาะกล้ามเนื้อตลอดแนวสันหลัง นี้อาจรวมถึงกล้ามเนื้อหลังล่างและกล้ามเนื้อหลังบน

3.การฟื้นฟูความคงทน: การฝึกซ้อมเพื่อเพิ่มความคงทนของร่างกายในระยะยาว เช่น การวิ่งเดิน เล่นวอลเลย์บอลน้ำ และกิจกรรมอื่น ๆ ที่เหมาะสม

4.การรักษาความยืดหยุ่น: การฝึกซ้อมเพื่อรักษาความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อและข้อต่อ ซึ่งอาจช่วยลดอาการตรึงเมื่อมีการเคลื่อนไหว

5.การเสริมระบบสมองและร่างกาย: การฝึกซ้อมเพื่อเสริมระบบสมองและร่างกายในการควบคุมการเคลื่อนไหวและความต้านทานอื่น ๆ ที่สามารถช่วยในการจัดการอาการปวด

6.การแนะนำการรักษาต่อเนื่อง: นักกายภาพบำบัดอาจแนะนำการฝึกซ้อมและการดูแลสุขภาพที่ผู้ป่วยสามารถฝึกอยู่ในบ้านเพื่อรักษาความคงทนและลดความเสี่ยงให้มีอาการ Slipped disc กลับมาอีกครั้ง

การบำบัดกายภาพควรดำเนินการภายใต้คำแนะนำและความคุ้มครองของนักกายภาพบำบัดที่มีความเชี่ยวชาญ และควรปรึกษาแพทย์ก่อนที่จะเริ่มต้นการกายภาพบำบัดเพื่อให้ได้แผนการรักษาที่เหมาะสมกับสภาพของผู้ป่วยและอาการของ Slipped disc ในกรณีที่มีอาการรุนแรงหรือมีความผิดปกติในการเคลื่อนไหวอื่น ๆ อาจต้องใช้การรักษาเสริมเช่นการใช้ยาหรือการผ่าตัดในบางกรณี การรักษาควรเป็นผลมาจากการประเมินและวินิจฉัยอย่างถูกต้องโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

 

การทำกายภาพบำบัด ด้วยเครื่องมือทางกายภาพบำบัดไม่ว่าจะเป็น TECAR,Shockwave,High power laser, Ultrasound,PMS,Electrical Stimulation รวมถึง Manual technique ต่างๆ  และคำแนะนำการปฏิบัติท่าทางที่เหมาะสม เพื่อบรรเทาอาการปวด และรักษาอาการของโรค

 

ติดต่อเรา

Tel:098 225 2255

Facebook:Bangkok pain clinic คลินิกกายภาพบำบัด

Gmail:bangkokpainclinic@gmail.com

Website:bangkokpainclinic.com

 

โรครองช้ำ (Plantar Fasciitis)

โรครองช้ำ

โรครองช้ำหรือพังผืดใต้ฝ่าเท้าอักเสบ (Plantar Fasciitis) เป็นภาวะอักเสบของเนื้อเยื่อใต้ฝ่าเท้าที่เรียกว่าเส้นเอ็น Plantar Fascia ซึ่งเป็นเนื้อเยื่อช่วยพยุงอุ้งเท้าให้อยู่ในท่าทางปกติ และทำหน้าที่รับแรงกระทำที่เกิดขึ้นกับฝ่าเท้า ขณะเดินหรือวิ่งของฝ่าเท้า โรคนี้อาจเกิดขึ้นเมื่อเส้นเอ็น Plantar Fascia ถูกยืดเกินไป ทำให้เกิดอาการอักเสบและปวดใต้ฝ่าเท้า รองช้ำ (Plantar Fasciitis) เป็นโรคที่มักพบในผู้ที่มีกิจกรรมที่ต้องยืนนานหรือใช้ฝ่าเท้ามาก เช่น วิ่งหรือเดินเยอะ หรือผู้ที่มีน้ำหนักเกินมาตราฐาน มักเกิดอาการปวดใต้ฝ่าเท้าขณะเดินหรือยืนนานๆ

อาการของโรครองช้ำ (Plantar Fasciitis) ประกอบด้วย:

1.อาการปวดใต้ฝ่าเท้า มักเกิดบริเวณหน้าส้นเท้า

2.ปวดเฉพาะเมื่อเริ่มเดินหรือยืนเป็นเวลานาน

3.อาจเกิดอาการปวดมากขึ้นในตอนเช้าหรือหลังจากตื่นนอน

4.บางครั้งอาจมีอาการบวมบริเวณใต้ฝ่าเท้า

 

การรักษาโรครองช้ำ (Plantar Fasciitis) อาจมีวิธีดังนี้:

1.การพักผ่อน: ลดกิจกรรมที่ใช้ฝ่าเท้า เพื่อให้เนื้อเยื่อมีโอกาสฟื้นตัวและลดอาการอักเสบ

2.การบริหารกล้ามเนื้อ: การทำแบบฝึกยืดเนื้อเยื่อใต้ฝ่าเท้าลดการปวดหรืออักเสบ

3.การใช้รองเท้าที่เหมาะสม: การเลือกใช้รองเท้าที่ช่วยพยุงอุ้งเท้าให้อยู่ในท่าทางปกติ

4.การใช้อุปกรณ์ช่วยเหลือ: รองเท้าแผ่นเสริมหรือใช้สายรัดข้อข้อเท้าเพื่อลดแรงกระแทก

5.การใช้ยา: แพทย์อาจสั่งให้ใช้ยาลดการอักเสบหรือยาแก้ปวดเพื่อช่วยบรรเทาอาการ

6.การฝังเข็ม: การรักษาด้วยการฝังเข็มหรือการกายภาพบำบัดบางกรณีอาจพิจารณาตามคำแนะนำของแพทย์

 

ที่ผ่านมา ของโรครองช้ำหรือพังผืดใต้ฝ่าเท้าอักเสบ (Plantar Fasciitis) การรักษามีความสำคัญเพื่อลดอาการปวดและป้องกันการกลับมาของโรคนี้ นอกจากวิธีการที่ได้กล่าวมาแล้วยังมีเสริมอีกบางวิธีที่อาจช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้นได้:

1.การทำกายภาพบำบัด: กายภาพบำบัดอาจช่วยในการเสริมกล้ามเนื้อและเพิ่มความยืดหยุ่นของเนื้อเยื่อใต้ฝ่าเท้า นอกจากนี้กายภาพบำบัดยังช่วยลดอาการปวดและเพิ่มประสิทธิภาพของการรักษา.

2.การนวด: การนวดเนื้อเยื่อใต้ฝ่าเท้าอาจช่วยลดอาการปวดและความตึงของกล้ามเนื้อ แต่ควรให้นักกายภาพบำบัดหรือนักนวดมืออาชีพทำการนวดนี้เพื่อป้องกันการบาดเจ็บ

3.การใช้เครื่องนวดไฟฟ้า: เครื่องนวดไฟฟ้าอาจช่วยในการลดอาการปวดและความตึงของเนื้อเยื่อใต้ฝ่าเท้า แต่ควรปรึกษากับแพทย์หรือนักกายภาพบำบัดก่อนการใช้งาน.

4.การใช้อุปกรณ์ช่วยเหลือ: การใช้อุปกรณ์ช่วยเหลือเช่น อาศัยเครื่องยืนตัวเสริมข้อหรือรองเท้าที่การเลือกใช้รองเท้าที่ช่วยพยุงอุ้งเท้าสามารถช่วยลดแรงกระแทกต่อเนื้อเยื่อใต้ฝ่าเท้า.

5.การศึกษาแนวทางการเลือกรองเท้า: การเลือกใช้รองเท้าที่มีแนวทางการออกแบบที่เหมาะสมสำหรับการป้องกันและรักษาโรครองช้ำมีความสำคัญ รองเท้าควรเลือกใช้ที่ช่วยพยุงอุ้งเท้า

ด้านหน้าและด้านหลังของฝ่าเท้าและที่ส้นเท้า.

สำหรับการรักษาโรครองช้ำหรือพังผืดใต้ฝ่าเท้าอักเสบ ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านกระดูกและข้อ และปฏิบัติตามคำแนะนำที่ได้รับอย่างเคร่งครัด เนื่องจากการรักษาที่ถูกต้องและทันเวลาสามารถช่วยให้คุณกลับคืนสุขภาพของฝ่าเท้าได้อย่างรวดเร็วและป้องกันอาการกลับมาเกิดขึ้นในอนาคต

 

การป้องกันโรครองช้ำ (Plantar Fasciitis) สามารถทำได้โดยขั้นตอนต่อไปนี้:

  1. การเลือกรองเท้าที่เหมาะสม: ในชีวิตประจำวันหรือในกิจกรรมกีฬา ควรเลือกรองเท้าที่รองรับเท้าอย่างเหมาะสมและช่วยพยุงอุ้งเท้าได้ดีกับทรงเท้าของคุณ หากคุณมีประวัติของโรครองช้ำหรือมีความเสี่ยง ควรใส่รองเท้าที่มีความรองรับหรือช่วยพยุงอุ้งเท้าหรือรองเท้าพื้นเรียบ แต่ถ้าคุณเป็นคนที่ต้องทำงานนานๆ ต้องใส่รองเท้าที่มีความนุ่มสบายและมีการดูแลความสบายของเท้าอย่างเหมาะสม
  2. การฝึกยืดเส้นใยเท้า: การทำการยืดเส้นใยเท้าเป็นประจำ โดยเฉพาะในช่วงเช้าหลังจากตื่นนอน สามารถช่วยลดความตรึงของส้นเท้าและป้องกันการอักเสบได้
  3. ควบคุมน้ำหนัก: ควรรักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติหรือสมส่วน เพราะน้ำหนักเกินมากอาจทำให้เส้นใยเท้าเกิดการปวดอักเสบและกระทบการใช้ชีวิตประจำวันได้
  4. การป้องกันการบาดเจ็บ: หากมีกิจกรรมที่เสี่ยงต่อการบาดเจ็บเช่นการวิ่งหรือกีฬาที่ใช้ส้นเท้ามาก ควรหาข้อมูลการป้องกันและเตรียมตัวอย่างเหมาะสม และควรเลือกใช้รองเท้าที่มีการรองรับเท้าและมีความเหมาะสมกับอุ้งเท้าของเรา
  5. การพักผ่อนและการฟื้นตัว: หากคุณรู้สึกปวดส้นเท้า ควรให้เท้าพักผ่อน และไม่ควรทำกิจกรรมที่ทำให้เส้นใยเท้าเสียดสีมากเกินไป ในบางกรณีอาจต้องพักระยะยาวเพื่อรักษาตัว
  6. การรักษาความสมดุลของกล้ามเนื้อ: การฝึกกายภาพและสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและเส้นใยเท้า สามารถช่วยป้องกันการเกิดอักเสบ หรือปวดได้
  7. พบแพทย์: หากคุณมีอาการปวดส้นเท้าเรื้อรังหรืออาการหนักขึ้น ควรพบแพทย์หรือนักกายภาพบำบัดเพื่อการวินิจฉัยและการรักษาเพิ่มเติม

การป้องกันโรครองช้ำเป็นสิ่งสำคัญเพื่อรักษาสุขภาพของเท้าและป้องกันอาการปวดส้นเท้าในอนาตคได้

การทำกายภาพบำบัด ด้วยเครื่องมือทางกายภาพบำบัดไม่ว่าจะเป็น TECAR,Shockwave,High power laser, Ultrasound,PMS,Electrical Stimulation รวมถึง Manual technique ต่างๆ  และคำแนะนำการปฏิบัติท่าทางที่เหมาะสม เพื่อบรรเทาอาการปวด ป้องกันการบาดเจ็บของส้นเท้าเรื้อรัง และลดการอักเสบ

 

ติดต่อเรา

Tel:098 225 2255

Facebook:Bangkok pain clinic คลินิกกายภาพบำบัด

Gmail:bangkokpainclinic@gmail.com

Website:bangkokpainclinic.com

 

 

สาเหตุของการปวดเข่า (Knee pain)

ปวดเข่าเป็นอาการที่สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ดังนี้:

  1.       อุบัติเหตุ: เป็นอีกสาเหตุที่ทำให้ข้อเข่าได้รับบาดเจ็บ เช่น การตกหรือกระแทกข้อเข่า, การเล่นกีฬาที่เกิดการกระแทก เป็นต้น
  2.     ข้อเข่าเสื่อม (Osteoarthritis): เป็นโรคที่เกิดจากการสึกกร่อนของกล้ามเนื้อและกระดูกข้อเข่า ทำให้ข้อเข่าอ่อนแรงและปวด
  3.     เข่าด้านในอักเสบ(Knee Bursitis): การอักเสบของถุงน้ำในข้อเข่าสามารถทำให้เกิดการปวดเข่า
  4.       เอ็นหัวเข่าอักเสบ (Knee Tendonitis): การอักเสบของเส้นเอ็นที่เชื่อมต่อกล้ามเนื้อกับกระดูกข้อเข่า
  5.       การบิดเข่าหรือเคล็ดเข่า (Knee Sprain): การบิดหรือการเคล็ดของข้อเข่าสามารถทำให้เกิดการบาดเจ็บและปวดเข่าได้
  6.       เก๊าท์ (Gout):โรคเก๊าท์ (Gout) เป็นโรคที่เกิดขึ้นเมื่อมีการสะสมของกรดยูริกในร่างกาย โรคนี้มักเกิดขึ้นในข้อต่างๆ ของร่างกาย แต่มักพบมากที่สุดในข้อปลายเท้า (big toe) โดยส่วนใหญ่เกิดขึ้นที่ข้อเท้า
  7.       การบาดเจ็บของเส้นเอ็นที่อยู่บริเวณต้นขาด้านนอกเชื่อมกล้ามเนื้อบริเวณด้านข้างและกล้ามเนื้อก้นด้านข้างยาวลงมาผ่านเข่า (Iliotibial Band Syndrome): การใช้งานมากของเส้นเอ็นอาจทำให้เกิดการอักเสบและปวดเข่า
  8.       โรคอื่นๆ: การปวดเข่ายังสามารถเกิดขึ้นจากโรคอื่นๆ เช่น โรคข้อเข่าโดยเฉพาะ (Rheumatoid Arthritis), การติดเชื้อ, หรืออาการอื่นๆ ที่มีผลต่อข้อเข่า

การรักษาอาการปวดเข่าจะขึ้นอยู่กับสาเหตุของอาการ การปรึกษาแพทย์เป็นสิ่งสำคัญเพื่อวินิจฉัยและรับคำแนะนำเกี่ยวกับการรักษาที่เหมาะสม เช่น การพบแพทย์อาจแนะนำการฝึกหัดกล้ามเนื้อและกำจัดอาการอักเสบด้วยยาต้านอักเสบหรือรักษาแบบศัลยกรรมเมื่อจำเป็น

การรักษาปวดเข่าสามารถทำได้หลายวิธี เช่น

  1. กายภาพบำบัด: แพทย์หรือนักกายภาพบำบัดจะสามารถตรวจประเมินร่างกาย และให้การรักษาทางกายภาพบำบัด  รวมถึงแนะนำการทำกิจกรรมที่เหมาะสมเพื่อป้องกันการปวดเข่าที่เพิ่มมากขึ้นและเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อข้อเข่าเพื่อลดแรงกระทำต่อข้อเข่าขณะทำกิจกรรม หรือกิจวัตรประจำวันได้ 
  2. การใช้ยา: การใช้ยาลดปวด เช่น ยาระงับปวด (pain relievers) หรือยาต้านอักเสบ (anti-inflammatory drugs) อาจช่วยลดอาการปวดเข่าและการอักเสบของข้อเข่า
  3. การสวมอุปกรณ์ช่วยพยุงข้อเข่า : การใช้เข่าเสริมหรืออุปกรณ์ช่วยพยุงอื่นๆ เช่น knee support สามารถช่วยลดแรงที่กระทำต่อข้อเข่าที่มากเกินไป ช่วยพยุงข้อเข่าไม่ให้มีการบาดเจ็บซ้ำในผู้ที่ได้รับการบาดเจ็บบริเวณข้อเข่า หรือช่วยกระชับข้อเข่า เพิ่มความมั่นคงให้กับข้อเข่า และบรรเทาอาการปวดได้
  4. การแก้ไขรูปแบบการเดิน: หากรูปแบบการเดินของคุณไม่ถูกต้อง กายภาพบำบัดอาจช่วยปรับปรุงรูปแบบการเดินเพื่อลดแรงที่กระทำต่อข้อเข่าได้ 
  5. การผ่าตัด: ในกรณีที่มีความเสี่ยงสูงหรืออาการรุนแรงมาก แพทย์อาจแนะนำการผ่าตัดข้อเข่าเพื่อซ่อมแซมหรือใส่อุปกรณ์เทียมแทนข้อเข่าที่เสื่อมสภาพ
  6. การบริหารสุขภาพรวม: การรักษาสุขภาพทั่วไป เช่น การควบคุมน้ำหนัก, การออกกำลังกายอย่างเหมาะสม, และการบริหารสตรีอย่างดี สามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดปัญหาข้อเข่าได้

การรักษาปวดเข่าขึ้นอยู่กับสาเหตุและระดับความรุนแรงของปัญหา ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและแผนการรักษาที่เหมาะสมสำหรับอาการปวดของแต่ละบุคคลและควรรักษาตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดเพื่อป้องกันอันตรายและฟื้นฟูสภาพข้อเข่าให้ดีขึ้นได้อย่างเหมาะสม 

การทำกายภาพบำบัดถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ที่ไม่อยากผ่าตัด ด้วยเครื่องมือทางกายภาพบำบัดไม่ว่าจะเป็น TECAR,Shockwave,High power laser, Ultrasound,PMS,Electrical Stimulation รวมถึง Manual technique ต่างๆ  และคำแนะนำการปฏิบัติท่าทางที่เหมาะสม เพื่อบรรเทาอาการปวด ป้องกันการบาดเจ็บของข้อเข่าที่อาจเพิ่มขึ้นจากการใช้ชีวิตประจำวัน และฟื้นฟูกล้ามเนื้อให้แข็งแรงมากขึ้น 

ติดต่อเรา

Tel:098 225 2255

Facebook:Bangkok pain clinic คลินิกกายภาพบำบัด

Gmail:bangkokpainclinic@gmail.com

Website:bangkokpainclinic.com