คลินิกกายภาพบำบัด บางพลัด MRT สิรินธร

การยืดออกกำลังกายแก้ปวดหลัง

 

การยืดเป็นท่าออกกำลังกายที่มีประโยชน์ในการบรรเทาอาการปวดหลังได้ดีเนื่องจากช่วยเหยียดเส้นเอ็นทรัพย์ ลดความตึงของกล้ามเนื้อและเพิ่มความเชื่อมั่นในร่างกาย นี่คือวิธีที่คุณสามารถทำได้

  1. ยืดหลังด้านบน (Upper back stretch)
  • นั่งตัวตรง ให้มือขวาเหยียดตรงไปข้างหน้า จากนั้นหันหัวไปทางขวาและเอาศอกซ้ายวางไว้บนเข่าข้างซ้าย
  • เอามือซ้ายไปจับข้อศอกข้างขวา และดันไปทางขวาลงจนกระทั่งคุณรู้สึกเหยียดเส้นเอ็นทรัพย์ ค้างไว้สัก 15-30 วินาที แล้วเปลี่ยนข้าง
  1. ยืดส่วนล่างของหลัง (Lower back stretch)
  • นั่งตัวตรง ให้เหยียดขาขึ้น แล้วยกขาขึ้นไปที่มุม 90 องศา
  • เอามือซ้ายวางไว้บนเข่าข้างซ้าย และใช้มือขวาบีบเอาเข่าข้างซ้ายเข้าหาลำตัว
  • ค้างไว้สัก 15-30 วินาที แล้วเปลี่ยนข้าง
  1. ยืดส่วนกลางของหลัง (Mid-back stretch)
  • นั่งตัวตรง ให้งอเข่าและวางเท้าไว้บนพื้น
  • เอามือไปจับเข่าทั้งสองข้าง และดันไปด้านหลังจนกระทั่งคุณรู้สึกเหยียดเส้นเอ็นทรัพย์
  • ค้างไว้สัก 15-30 วินาที

สาเหตุของการปวดเข่า (Knee pain)

ปวดเข่าเป็นอาการที่สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ดังนี้:

  1. อุบัติเหตุ: เป็นอีกสาเหตุที่ทำให้ข้อเข่าได้รับบาดเจ็บ เช่น การตกหรือกระแทกข้อเข่า, การเล่นกีฬาที่เกิดการกระแทก เป็นต้น
  2. ข้อเข่าเสื่อม (Osteoarthritis): เป็นโรคที่เกิดจากการสึกกร่อนของกล้ามเนื้อและกระดูกข้อเข่า ทำให้ข้อเข่าอ่อนแรงและปวด
  3. เข่าด้านในอักเสบ(Knee Bursitis): การอักเสบของถุงน้ำในข้อเข่าสามารถทำให้เกิดการปวดเข่า
  4. เอ็นหัวเข่าอักเสบ (Knee Tendonitis): การอักเสบของเส้นเอ็นที่เชื่อมต่อกล้ามเนื้อกับกระดูกข้อเข่า
  5. การบิดเข่าหรือเคล็ดเข่า (Knee Sprain): การบิดหรือการเคล็ดของข้อเข่าสามารถทำให้เกิดการบาดเจ็บและปวดเข่าได้
  6. เก๊าท์ (Gout):โรคเก๊าท์ (Gout) เป็นโรคที่เกิดขึ้นเมื่อมีการสะสมของกรดยูริกในร่างกาย โรคนี้มักเกิดขึ้นในข้อต่างๆ ของร่างกาย แต่มักพบมากที่สุดในข้อปลายเท้า (big toe) โดยส่วนใหญ่เกิดขึ้นที่ข้อเท้า
  7. การบาดเจ็บของเส้นเอ็นที่อยู่บริเวณต้นขาด้านนอกเชื่อมกล้ามเนื้อบริเวณด้านข้างและกล้ามเนื้อก้นด้านข้างยาวลงมาผ่านเข่า (Iliotibial Band Syndrome): การใช้งานมากของเส้นเอ็นอาจทำให้เกิดการอักเสบและปวดเข่า
  8. โรคอื่นๆ: การปวดเข่ายังสามารถเกิดขึ้นจากโรคอื่นๆ เช่น โรคข้อเข่าโดยเฉพาะ (Rheumatoid Arthritis), การติดเชื้อ, หรืออาการอื่นๆ ที่มีผลต่อข้อเข่า

การรักษาอาการปวดเข่าจะขึ้นอยู่กับสาเหตุของอาการ การปรึกษาแพทย์เป็นสิ่งสำคัญเพื่อวินิจฉัยและรับคำแนะนำเกี่ยวกับการรักษาที่เหมาะสม เช่น การพบแพทย์อาจแนะนำการฝึกหัดกล้ามเนื้อและกำจัดอาการอักเสบด้วยยาต้านอักเสบหรือรักษาแบบศัลยกรรมเมื่อจำเป็น

การรักษาปวดเข่าสามารถทำได้หลายวิธี เช่น

  1. กายภาพบำบัด: แพทย์หรือนักกายภาพบำบัดจะสามารถตรวจประเมินร่างกาย และให้การรักษาทางกายภาพบำบัด รวมถึงแนะนำการทำกิจกรรมที่เหมาะสมเพื่อป้องกันการปวดเข่าที่เพิ่มมากขึ้นและเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อข้อเข่าเพื่อลดแรงกระทำต่อข้อเข่าขณะทำกิจกรรม หรือกิจวัตรประจำวันได้
  2. การใช้ยา: การใช้ยาลดปวด เช่น ยาระงับปวด (pain relievers) หรือยาต้านอักเสบ (anti-inflammatory drugs) อาจช่วยลดอาการปวดเข่าและการอักเสบของข้อเข่า
  3. การสวมอุปกรณ์ช่วยพยุงข้อเข่า : การใช้เข่าเสริมหรืออุปกรณ์ช่วยพยุงอื่นๆ เช่น knee support สามารถช่วยลดแรงที่กระทำต่อข้อเข่าที่มากเกินไป ช่วยพยุงข้อเข่าไม่ให้มีการบาดเจ็บซ้ำในผู้ที่ได้รับการบาดเจ็บบริเวณข้อเข่า หรือช่วยกระชับข้อเข่า เพิ่มความมั่นคงให้กับข้อเข่า และบรรเทาอาการปวดได้
  4. การแก้ไขรูปแบบการเดิน: หากรูปแบบการเดินของคุณไม่ถูกต้อง กายภาพบำบัดอาจช่วยปรับปรุงรูปแบบการเดินเพื่อลดแรงที่กระทำต่อข้อเข่าได้
  5. การผ่าตัด: ในกรณีที่มีความเสี่ยงสูงหรืออาการรุนแรงมาก แพทย์อาจแนะนำการผ่าตัดข้อเข่าเพื่อซ่อมแซมหรือใส่อุปกรณ์เทียมแทนข้อเข่าที่เสื่อมสภาพ
  6. การบริหารสุขภาพรวม: การรักษาสุขภาพทั่วไป เช่น การควบคุมน้ำหนัก, การออกกำลังกายอย่างเหมาะสม, และการบริหารสตรีอย่างดี สามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดปัญหาข้อเข่าได้

การรักษาปวดเข่าขึ้นอยู่กับสาเหตุและระดับความรุนแรงของปัญหา ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและแผนการรักษาที่เหมาะสมสำหรับอาการปวดของแต่ละบุคคลและควรรักษาตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดเพื่อป้องกันอันตรายและฟื้นฟูสภาพข้อเข่าให้ดีขึ้นได้อย่างเหมาะสม

การทำกายภาพบำบัดถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ที่ไม่อยากผ่าตัด ด้วยเครื่องมือทางกายภาพบำบัดไม่ว่าจะเป็น TECAR,Shockwave,High power laser, Ultrasound,PMS,Electrical Stimulation รวมถึง Manual technique ต่างๆ และคำแนะนำการปฏิบัติท่าทางที่เหมาะสม เพื่อบรรเทาอาการปวด ป้องกันการบาดเจ็บของข้อเข่าที่อาจเพิ่มขึ้นจากการใช้ชีวิตประจำวัน และฟื้นฟูกล้ามเนื้อให้แข็งแรงมากขึ้น

ติดต่อเรา

Tel:098 225 2255

Facebook:Bangkok pain clinic คลินิกกายภาพบำบัด

Gmail:bangkokpainclinic@gmail.com

Website:bangkokpainclinic.com

 

Spondylolisthesis กระดูกสันหลังเคลื่อน

กระดูกสันหลัง

ทุกคนรู้หรือไม่ว่ากระดูกสันหลังเป็นอวัยวะที่สำคัญกับร่างกายที่ไม่ควรมองข้าม เนื่องจากกระดูกสันหลังเป็นส่วนที่ช่วยให้
การเคลื่อนไหวของร่างกายเริ่มตั้งแต่คอไปจนถึงหลังของก้น ซึ่งเป็นแกนกลางของลำตัวมีลักษณะเป็นข้อต่อที่มีหมอนรองกระดูก
แทรกอยู่แต่ละขั้น และมีเส้นประสาทอยู่มากมายทำหน้าที่คือป้องกันอันตรายให้แก่ไขสันหลัง เป็นแกนยึดร่างกาย เป็นที่ยึดเกาะ
ของกล้ามเนื้อต่างๆ เป็นส่วนที่ส่งสารออกของเส้นประสาทไปยังส่วนต่างๆของร่างกาย และให้ความสูง

โรคที่เกิดบริเวณกระดูกสันหลัง

  • โรคหมอนรองกระดูกเคลื่อนทับเส้นประสาท (Intervertebral Disc herniation)
  • โรคข้อต่อกระดูกสันหลังเสื่อมเคลื่อน (Facet Dislocation)
  • โรคช่องไขสันหลังตีบ (Spinal Stenosis)
  • การผิดรูปของกระดูกสันหลัง กระดูกสันหลังเคลื่อน (Spondylolisthesis)
  • กระดูกสันหลังคด (Scoliosis)
  • โรคมะเร็งกระดูกสันหลังหรือมะเร็งส่วนอื่นลามมาที่กระดูกสันหลัง
  • โรคกระดูกสันหลังติดเชื้อวัณโรคและแบคทีเรีย
  • โรคกระดูกสันหลังอักเสบ เช่น โรครูมาตอยด์

 

ในบางครั้งการใช้ชีวิตประจำวันของคนเรานั้นต่างกันอาจทำให้เรามองข้ามในบางพฤติกรรมที่ทำให้เสี่ยงหรืออันตรายกับกระดูกสัน
หลังของเรา ในบางอาชีพที่ยกของหนักอาจมีอาการปวดหลัง ปวดเอว ปวดหลังชาลงขา หรือปวดแปร๊บๆที่หลัง ในกรณีแบบนี้
ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจ X-ray และทำการรักษาในขั้นตอนต่อไป

พฤติกรรมเสี่ยงทำร้ายกระดูกสันหลัง

1.ยกของหนัก ยกของผิดท่า ก้มยกของโดยไม่ย่อเข่าลงและหลังไม่ตรง

2.นั่งท่าเดิมนานๆ ขาไม่งอ 90 องศา แขนไม่งอกับโต๊ะ 90 องศา นั่งหลังงอ ห่อไหล่ ไขว้ห้าง ซึ่งมักพบในกลุ่มคนทำงานหน้าคอม

  1. ก้มหน้าเล่นโทรศัพท์มือถือเป็นเวลานาน ทำให้กระดูกสันหลังต้องรับน้ำหนักคอ บ่า ไหล่

4.สะพายกระเป๋าหนักๆ ประจำ ส่งผลให้กล้ามเนื้อเกิดการอักเสบและหากเป็นระยะเวลานานๆก็อาจจะส่งผลต่อกระดูกสันหลังได้

  1. การนอนท่าที่ไม่ถูกต้อง นอนหมอนสุงเกินไปหรือการนอนบนที่นอนแข็ง ก็ส่งผลให้กระดูกสันหลังไม่เป็นเส้นตรง อาจเกิดผลข้างเคียงกับกระดูกสันหลังได้ในภายหลัง

Spondylolisthesis กระดูกสันหลังเคลื่อน

โครงสร้างปกติของกระดูกสันหลังจะเป็นข้อปล้องเรียงตัวต่อกัน ซึ่งแปลว่าภาวะกระดูกสันหลังเคลื่อนคือเกิดการเคลื่อนที่ผิดปกติไปจากการเรียงตัวเป็นแนวยาว ก็คือเคลื่อนตัวไปทางด้านหน้าด้านหลัง หรือด้านข้าง จึงเป็นสาเหตุทำให้มีอาการปวดบริเวณหลัง

อาการ

1.อาการปวด ตึง ที่กล้ามเนื้อขาด้านหลัง ปวดหลังช่วงล่าง ปวดบริเวณบั้นเอว ปวดบริเวณสะโพก แต่ละคนจะมีอาการปวดบริเวณที่แตกต่างกันไป

2.อาการปวดสะโพกร้าวลงขา

3.ปวดหลังร้าวลงสะโพกและขาถึงปลายเท้า

4.ปวดหรือชาบริเวณขา ต้นขา และสะโพก และอาจมีอาการอ่อนแรงร่วมด้วย

5.พบแนวกระดูกสันหลังโค้งมากเกินไป หรือพบแนวกระดูกสันหลังคดร่วมด้วย

6.กลั้นปัสสาวะหรืออุจจาระไม่ได้

การกายภาพบำบัด

การรักษาโดยกายภาพบำบัดจะช่วยลดอาการปวดหลังและอักเสบจากกระดูกสันหลังเคลื่อนดังนี้

  1. GBO เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าคลายกล้ามเนื้อหลัง ช่วยทำให้กล้ามเนื้อข้างแนวกระดูกสันหลังลดความตึงตัวลและ เครื่องอัลตร้าซาวด์ช่วยลดการอักเสบของกล้มเนื้อมัดใหญ่บริเวณแนวกระดูกสันหลัง
  2. HIGH POWER LASERช่วยลดการอักเสบของเส้นเอ็นของข้อต่อแนวกระดูกสันหลัง
  3. TRACTION เครื่องดึงหลังจะช่วยเพิ่มช่องว่างระหว่างกระดูกสันหลัง จัดแนวกระดูกสันหลังเคลื่อนไม่ให้เคลื่อนออกมามากขึ้น
  4. ใช้แผ่นประคบเย็นลดการอาการปวด บวม แดง ร้อนบริเวณที่มีกล้ามเนื้ออักเสบข้างแนวกระดูกสันหลัง
  5. PMS เครื่องแม่เหล็กไฟฟ้า จะช่วยฟื้นฟูเส้นประสาทที่โดยกดทับทำให้อาการชาและอ่อนแรงที่ขาดีขึ้น
  6. ใช้อุปกรณ์พยุงหลังใส่ในวันที่มีกิจกรรมการเดินนาน ยืนนานหรือนั่งติดต่อกันหลายชั่วโมง เพื่อให้กล้ามเนื้อหลังและแนวกระดูกสันหลังที่เคลื่อนได้พักการใช้งานในระยะที่อาการปวดรุนแรง
  7. ทำท่ากายบริหารเพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อช่วยพยุงข้อต่อให้ไม่เคลื่อนมากขึ้นภายใต้การดูแลของนักกายภาพบำบัด จะเป็นท่าที่ทำแล้วไม่ไปกระตุ้นการเคลื่อนที่ของกระดูกสันหลังและอาการปวดให้กำเริบมากขึ้น

ติดต่อเรา

Tel:098 225 2255

Facebook:Bangkok pain clinic คลินิกกายภาพบำบัด

Gmail:bangkokpainclinic@gmail.com

Website:bangkokpainclinic.com

 

โรคโพรงกระดูกสันหลังตีบแคบ (Spinal Stenosis) และ โรคหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อนกดทับเส้นประสาท หรือ Herniated Nucleus Pulposus(HNP)

โรคโพรงกระดูกสันหลังตีบแคบ (Spinal Stenosis)

เป็นโรคที่เกิดจากอาการเสื่อมของประดูกสันหลังหรือหมอนรองกระดูกสันหลัง ส่งผลให้เกิดพังผืดและกระดูกงอกทำให้โพรงเส้นประสาทแคบลง และบีบรัดบริเวณเส้นประสาทได้ มักพบอาการดังต่อไปนี้

-ปวดหลังร้าวลงสะโพกหรือขา

- มีอาการอ่อนแรงของขา

-มีอาการชาตาม ขาหรือเท้า

-อาการแย่ลงเมื่อเดินหรือยืนนานๆ หรือแอ่นหลังมากๆ

โรคหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อนกดทับเส้นประสาท หรือ Herniated Nucleus Pulposus(HNP)

โรคหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อน โรคที่เกิดจากการฉีกขาดของเยื้อหุ้มหมอนรองกระดูกสันหลังชั้นนอก ทำให้สารน้ำหรือส่วนไส้ชั้นในหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อนหรือปลิ้นออกมากดทับเส้นประสาทไขสันหลัง

อาการของโรคหมอนรองกระดูกเคลื่อน

จะแตกต่างกันออกไปตามตำแหน่งของเส้นประสาทที่ถูกกด โดยมีอาการหลักๆ ดังนี้

-ปวดร้าวตามเส้นประสาท

-ปวดหลังส่วนล่าง

-ชาตามเส้นประสาทที่ถูกกดทับ

-อ่อนแรงตามเส้นประสาทที่ถูกกดทับ

-งอตัวลำบาก งอหลังได้ไม่สุด

-ปวดเมื่อทำกิจกรรม เช่น ออกแรง ไอ จาม เบ่ง

-ปวดมากเวลานั่งนายๆ เช่น นั่งขับรถ

ปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรค

  • อายุที่เพิ่มมากขึ้น
  • พฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น ยกของหนัก ยกของผิดท่า เดินเยอะ
  • การบาดเจ็บบริเวณกระดูกสันหลัง เช่น การเกิดอุบัติเหตุที่รุนแรง
  • เนื้องอกหรือมะเร็งที่โตจนไปเบียดช่องไขสันหลัง

การรักษาทางกายภาพบำบัด

สามารถรักษาทางกายภาพบำบัดได้เพื่อรักษาอาการให้ดีขึ้น หรือป้องกันไม่ให้เกิดความรุนแรงของโรคมากกว่าเดิม หรือในผู้ที่ไม่อยากผ่าตัด

1.การใช้เครื่องมือทางกายภาพบำบัด เช่น

การดึง หรือ Traction

ช่วยยืดกล้ามเนื้อเพื่อคลายกล้ามเนื้อที่มีการเกร็งตัว ลดแรงกดที่ทำต่อข้อต่อของกระดูกคอหรือหลัง ลดการกดทับของเส้นประสาท โดยการดึงทำให้ช่องว่างระหว่างของกระดูกสันหลังกว้างขึ้น ลดแรงกดบนหมอนรองกระดูกสันหลังช่วยให้หมอนรองกระดูกกลับเข้าที่ได้ โดยทำให้ช่องว่างระหว่างกระดูกสันหลังกว้างขึ้น ส่งผลให้อาการปวดหรือชาลดลงได้

เครื่องกระตุ้นสนามแม่เหล็ก หรือ Peripheral Magnetic Stimulation (PMS) เครื่องกระตุ้นระบบประสาทด้วยการใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่สามารถกระตุ้นทะลุผ่านเสื้อผ้า ลงไปถึงเนื้อเยื่อและกระดูกได้ลึกประมาณ 10 ซม. คลื่นจาก PMS จะส่งคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ไปกระตุ้นที่เส้นประสาทโดยตรง มีการกระตุ้นเนื้อเยื่อบริเวณที่ปวด ทำให้เกิดการไหลเวียนโลหิตบริเวณกล้ามเนื้อดียิ่งขึ้น รวมถึงส่งสัญญาณคลื่นแม่เหล็กกระตุ้นแขน ขา บริเวณที่มีอาการชาหรืออ่อนแรง เร่งการฟื้นตัวของเส้นประสาทที่บาดเจ็บได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยรักษาอาการเจ็บปวด ได้ทั้งปวดเฉียบพลันและเรื้อรัง และยังมีกลไกการรักษาเป็นการกระตุ้นให้มีการซ่อมสร้างของเนื้อเยื่ออีกด้วย


2.Mobilization เป็นการเคลื่อนไหวข้อต่อโดยให้แรงที่เป็นจังหวะซ้ำๆในช่วงการเคลื่อนไหวของข้อต่อที่มีอาการติด หรือถูกจำกัดการเคลื่อนไหว จะใช้รักษาในกรณีที่ตรวจเจอว่ามีข้อติด (ดัดดึงข้อต่อ) หรือมีกล้ามเนื้อที่ต้องใช้มือช่วยคลายความตึง
3.การออกกำลังกายเฉพาะบุคคล เพื่อกระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อ เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว การยืดเหยียดกล้ามเนื้อ การบริหารเส้นประสาท
4.Home Program และการให้คำแนะนำต่างๆ โดยให้ท่าบริหารเฉพาะบุคคล และการแนะนำในการปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตต่างเพื่อป้องกันการเกิดความรุนแรงของโรคที่เพิ่มมากขึ้น

 

ติดต่อเรา

Tel:098 225 2255

Facebook:Bangkok pain clinic คลินิกกายภาพบำบัด

Gmail:bangkokpainclinic@gmail.com

Website:bangkokpainclinic.com

การทดสอบโรคปลอกหุ้มเส้นเอ็นข้อมืออักเสบ

ตรวจร่างกาย

Finkelstein’s test

เป็นการทดสอบเพื่อวินิจฉัยโรคปลอกหุ้มเส้นเอ็นข้อมืออักเสบ De Quervain’s disease ภาวะการณ์อักเสบเรื้อรังของเส้นเอ็นและปลอกหุ้มเส้นเอ็น เกิดจากการเสียดสีของเอ็นบริเวณนิ้วโป้ง เอ็นกล้ามเนื้อเหยียดนิ้วโป้ง Extensor pollicis brevis เอ็นกล้ามเนื้อกางนิ้วโป้ง Abductor pollicis longus และปลอกหุ้มเอ็นข้อมือ Extensor retinaculum ที่มากเกินไป จนเกิดการอักเสบและหนาตัวขึ้นของเส้นเอ็นและปลอกหุ้มเอ็น ทำให้ไม่สามารถเหยียดหรืองอนิ้วได้

สำหรับผู้ที่มีอาการ ปวด บวม แดง ร้อน ที่ข้อมือบริเวณโคนนิ้วโป้ง ปวดข้อมือมากขึ้นเมื่อมีการใช้ หรือ ขยับข้อมือ เช่น เวลาบิดลูกบิดประตู ใช้โทรศัพท์มือถือ หยิบจับสิ่งของ อุ้มลูก กลุ่มคนทำงานคอมพิวเตอร์ คนที่ชอบเล่นเกมส์ หรือ โทรศัพท์มือถือเป็นเวลานาน หรือ นักกีฬา ที่ต้องใช้ข้อมือเป็นหลัก นักกีฬาแบดมินตัน, ปิงปอง ,วอลเลย์บอล เป็นต้น

หลังจากการซักประวัติ และการตรวจร่างกายดำเนินมาถึงขั้นตอนเกือบสุดท้ายนักกายภาพมักทำการทดสอบเพื่อยืนยันว่าอาการปวดนิ้วโป้ง หรือบางรายอาจมีอาการปวดร้าวลงมาที่ข้อศอกได้ มาจากบาดเจ็บของเอ้นกล้ามเนื้อและปลอกหุ้มเอ็นหรือไม่ นักกายภาพบำบัดมักจะทำการทดสอบ ที่เรียกว่า Finkelstein’s test

โดยการตรวจประเมินมีขั้นตอนดังต่อไปนี้

1.เหยียดแขนตรง หันนิ้วโป้งขึ้นด้านบน

2.หักนิ้วโป้งเข้าหาฝ่ามือให้มากที่สุด

3.กำมือให้นิ้วที่เหลือทั้ง 4 นิ้ว อยู่เหนือนิ้วโป้ง

4.หักข้อมือลงไปทางด้านนิ้วก้อย

หากมีอาการปวดบริเวณโคนนิ้วโป้ง อาจมีการอักเสบของเอ็นกล้ามเนื้อ และปลอกหุ้มเอ็นกล้ามเนื้อได้

ผู้ที่มีอาการสามารถรักษาโดยการทำกายภาพบำบัด โดยการลดการอักเสบ ลดปวด และเร่งการฟื้นฟูเนื้อเยื่อที่ได้รับการบาดเจ็บ ด้วยเครื่องมือทางกายภาพบำบัด ไม่ว่าจะเป็น Laser , Shockwave , Radio Frequency , กระตุ้นไฟฟ้า ,Ultrasound และ PMS รวมถึงการออกกำลังการเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ การยืดกล้ามเนื้อเฉพาะมัด เพื่อป้องกันและลดโอกาสเกิดอาการอักเสบของเอ็นข้อมือได้

ติดต่อเรา

Tel:098 225 2255

Facebook:Bangkok pain clinic คลินิกกายภาพบำบัด

Gmail:bangkokpainclinic@gmail.com

Website:bangkokpainclinic.com

ภาวะไหล่ติดหรือFrozen shoulder

Frozen shoulder หรือภาวะไหล่ติด

ไหล่ติดเป็นภาวะที่มีการขยับข้อไหล่ได้น้อยลง โดยเริ่มจากน้อยๆเช่นไม่สามารถยกไหล่ได้สุดหรือไขว้หลังได้ไม่สุด หากไม่ทำการรักษาอาการจะเป็นมากขึ้นจนขยับได้น้อยลงกว่าเดิมหรือไม่ได้เลย

สาเหตุของข้อไหล่ติด

  • สาเหตุหลักคือการอักเสบของเนื้อเยื่อที่อยู่รอบข้อไหล่ ซึ่งเรียกว่า เยื่อหุ้มข้อไหล่ (Capsule) โดยปกติเยื่อหุ้มข้อไหล่จะค่อนข้างยืดหยุ่นและสามารถขยายหรือหดตัวตามการขยับของข้อไหล่ แต่เมื่อเกิดภาวะข้อไหล่ยึดติดขึ้น เยื่อหุ้มจะมีการอักเสบและหดตัวจนไม่สามารถยืดหยุ่นได้เหมือนเดิม ทำให้ขยับข้อไหล่ได้ลดน้อยลง และมีอาการปวดร่วมด้วยเสมอ
  • การบาดเจ็บที่ข้อไหล่ การกระแทก การขยับข้อไหล่เป็นเวลานาน การอักเสบของกล้ามเนื้อเอ็นรอบข้อไหล่ สามารถนำไปสู่การอักเสบของเยื่อหุ้มข้อไหล่ได้ทั้งสิ้น ซึ่งส่งผลทำให้ผู้ป่วยมีภาวะข้อไหล่ยึดติดในที่สุด

อาการข้อไหล่ติด

เกิดอาการปวดเจ็บตื้อๆ โดยอาการปวดจะเพิ่มขึ้นเมื่อมีการเคลื่อนไหว อาการเด่นชัดคือไม่สามารถขยับข้อไหล่ได้ มีอาการปวดเวลานอนทับ หรือเวลากลางคืน อาการของโรคมี 3 ระยะ ได้แก่

ระยะที่ 1 ระยะเจ็บปวด อาการปวดจะค่อยๆเพิ่มขึ้น อาจปวดแม้ไม่ได้ทำกิจกรรม ระยะนี้มักปวดนาน 6 สัปดาห์ – 9 เดือน มุมการเคลื่อนไหวของข้อไหล่ลดลง

ระยะที่ 2 ระยะข้อยึด อาการปวดระยะแรกยังคงอยู่ แต่จะปวดลดลง การเคลื่อนไหวของข้อไหล่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยทั่วไประยะนี้อาจนาน 4 – 9 เดือน หรือนานกว่านี้

ระยะที่ 3 ระยะฟื้นตัว อาการปวดจะลดลง และการเคลื่อนไหวข้อไหล่จะค่อยๆดีขึ้นในช่วง 5 เดือน – 2 ปี แต่อย่างไรก็ตามหากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ทำการรักษา บางรายอาจเกิดภาวะขยับแขนหรือข้อไหล่ไม่ได้อย่างถาวร จนต้องเข้ารับการผ่าตัดเพื่อแก้ไขปัญหา

การรักษาทางกายภาพบำบัดในผู้ป่วยข้อไหล่ติด

  • ซักประวัติ ตรวจร่ายกายอย่างละเอียด และวินิจฉัยโรคโดยนักกายภาพบำบัด
  • TECAR Therapy หรือการรักษาด้วยคลื่นวิทยุ เหนี่ยวนำให้เกิดความร้อนลึกลงไปยังกล้ามเนื้อและเยื่อหุ้มข้อไหล่ที่มีปัญหา เพื่อซ่อมแซมและคลายกล้ามเนื้อรอบข้อไหล่ที่แข็งเกร็ง อีกทั้งยังเพิ่มความยืดหยุ่นให้แก่เยื่อหุ้มข้อไหล่ชั้นลึกอีกด้วย ทำให้รู้สึกผ่อนคลายและลดอาการปวด
  • Mobilization หรือการดัดดึงข้อต่อ ยืดกล้ามเนื้อรอบข้อไหล่ เพื่อเพิ่มการเคลื่อนไหวของข้อไหล่ เพิ่มความยืดหยุ่นของเยื่อหุ้มข้อไหล่และกล้ามเนื้อบริเวณนั้น
  • Shockwave Therapy หรือการรักษาด้วยคลื่นกระแทก ช่วยคลายกล้ามเนื้อที่เกร็งตัวเป็นจุดกดเจ็บ ร่วมทั้งสลายพังผืด เพิ่มการไหลเวียนของเลือด เร่งกระบวนการซ่อมแซมของกล้ามเนื้อและเส้นเอ็น
  • High Power Laser Therapy หรือเครื่องเลเซอร์กำลังสูง สามารถลดอาการปวดอักเสบเฉียบพลัน กระตุ้นการซ่อมแซมเส้นเอ็นและเนื้อเยื่อ
  • การยืดกล้ามเนื้อ
  • การออกกำลังกายหรือท่าบริหารเฉพาะบุคคล
  • Home program (ยืดกล้ามเนื้อด้วยตนเอง+ออกกำลังกาย+ปรับพฤติกรรมและท่าทาง) เพื่อลดการบาดเจ็บของข้อไหล่ซ้ำๆ และเพิ่มองศาการเคลื่อนไหวของข้อไหล่

อันตรายที่แฝงมากับรองเท้าส้นสูง

อันตรายที่แฝงมากับรองเท้าส้นสูง

ปัจจุบันแฟชั่นการแต่งตัวให้ดูดีเป็นสิ่งสำคัญ สาวๆในยุคสมัยนี้ให้ความสำคัญกับบุคลิกการแต่งตัวเป็นอันดับต้นๆ ก่อนออกจากบ้านต้องดูดี ซึ่งขาดไม่ได้เลยคือรองเท้าส้นสูงคู่ใจของใครหลายๆคน ที่จะเพิ่มความมั่นใจ รูปลักษณ์ให้ดูดีดูสง่า ซึ่งลืมไปว่าการสวมรองเท้าที่ดีและถูกต้องนั้นก็สำคัญเช่นกัน หากสวมรองเท้าส้นสูงทุกๆวันเป็นระยะเวลานานๆ อาจจะส่งผลกระทบต่อร่างกายของเราโดยที่ไม่รู้ตัว

 

ข้อเสีย

1.ปวดเท้า การสวมรองเท้าส้นสูงทำให้ทรงตัวลำบาก ลำตัวโน้มไปด้านหน้าส่งผลให้กระดูกเท้าต้องรับน้ำหนัก หากถูกบีบรัดจนเกินไปอาจส่งผลให้กระดูกและเส้นประสาทบริเวณฝ่าเท้าเกิดการอักเสบได้

2.ปวดน่องเอ็นร้อยหวายตึง ในการสวมใส่รองเท้าเหมือนเป็นการยืนเขย่าตลอดเวลาจึงส่งผลให้บริเวณที่เป็นเอ็นร้อยหวายนั้นตึง เป็นสาเหตุที่ทำให้ปวดน่อง หรือเป็นตะคริว

3.ปวดเข่า เสี่ยงเป็นโรคเข่าเสื่อมการเดินบนส้นสูงนั้นจะเกิดแรงกระแทกที่บริเวณข้อเข่า เข่าเป็นกระดูกข้อต่อที่ใหญ่ที่สุด ทำให้การรองรับความตึงเป็นระยะเวลานานนั้นอาจจะทำให้น้ำในไขข้อกระดูกลดลงจนเกิดเป็นรอยแตกทำให้ข้อเข่าเสื่อมและเสี่ยงต่อการเป็นโรคกระดุกพรุนได้

4.ปวดหลัง การใส่ส้นสูงทำให้ช่วงลำตัวแอ่นไปด้านหน้า ซึ่งกระดูกสันหลังจะคดเป็นรูปตัว S หากเป็นในระยะเวลานานๆ ก็จะมีปัญหาปวดหลังตามมา

5.อุบัติเหตุ การสวมรองเท้าส้นสุงนั้นมีโอกาสทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย เพราะต้องทรงตัวยืนบนรองเท้าที่มีความมั่นคงไม่แข็งแรง หากพื้นทางเดินขรุขระอาจะทำให้สะดุดหกล้มหรือข้อเท้าพลิกได้

6.โครงสร้างเท้าผิดรูป การใส่รองเท้าส้นสูงที่บีบรัดแน่นเท้า เช่น รองเท้าที่มีหัวแคบ เป็นสายรัดหน้าเท้าของเราหากใส่เป็นเวลานานๆ กระดูกนิ้วเท้าที่โดนบีบรัดเป็นเวลานานก็จะทำให้ผิดรูปได้

 

ทำความรู้จักกับOffice syndrome

Office Syndrome ส่งผลต่อร่างกายของคุณอย่างไร

ในโลกปัจจุบันที่หมุนไปอย่างรวดเร็ว การนั่งที่โต๊ะเป็นเวลานานๆ กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเราอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าคุณจะเป็นนักเรียน มืออาชีพ หรือฟรีแลนซ์ การใช้เวลาหลายชั่วโมงอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์กลายเป็นเรื่องปกติ

มารู้จักโรคยอดฮิต ออฟฟิศซินโดรม

ออฟฟิศซินโดรม (Office Syndrome) คือ กลุ่มอาการปวดกล้ามเนื้อและเยื่อพังผืด (Myofascial Pain Syndrome) เนื่องมาจากรูปแบบการทำงานที่ใช้กล้ามเนื้อมัดเดิมซ้ำๆ เป็นระยะเวลานานต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลให้เกิดอาการกล้ามเนื้ออักเสบและปวดเมื่อยตามอวัยวะต่างๆ โดยเฉพาะบริเวณ คอ หลัง ไหล่ บ่า แขน หรือข้อมือ ซึ่งอาการปวดดังกล่าวอาจลุกลามจนกลายเป็นอาการปวดเรื้อรัง

 

ออฟฟิศซินโดรมเกิดได้อย่างไร

โดยมีสาเหตุและปัจจัยที่ทำให้มีโอกาสเกิดกลุ่มอาการดังกล่าว ได้แก่

  • ท่าทางการทำงาน (Poster) เช่น ลักษณะท่านั่งทำงาน การวางมือ ศอก บนโต๊ะทำงานที่ไม่ถูกต้อง
  • การบาดเจ็บจากงานซ้ำ ๆ (Cumulative Trauma Disorders) หรือระยะเวลาในการทำงานที่มากเกินไป ทำให้ร่างกายเกิดการล้า เช่น การใช้ข้อมือซ้ำ ๆ ในการใช้เมาส์ อาจทำให้เกิดการอักเสบของเอ็นบริเวณข้อมือ หรือพังผืดเส้นประสาทบริเวณข้อมือได้
  • สิ่งแวดล้อมในการทำงานที่ไม่เหมาะสม เช่น ลักษณะโต๊ะทำงาน หน้าจอคอมพิวเตอร์ แสงสว่างในห้องทำงาน

 

เช็คอาการออฟฟิศซินโดรม

-ปวดกล้ามเนื้อเฉพาะส่วนใดส่วนหนึ่ง มักมีอาการปวดแบบกว้างๆ ๆไม่สามารถชี้จุดหรือระบุตำแหน่งที่ปวดได้อย่างชัดเจน เช่น คอ บ่า ไหล่ สะบัก

-ปวดศีรษะเรื้อรัง หรือในบางครั้งมีอาการปวดหัวไมเกรนร่วมด้วย ซึ่งมีสาเหตุมาจากความเครียดหรือการที่ใช้สายตาเป็นระยะเวลานาน

-ปวดหลังเรื้อรัง เป็นอาการที่พบบ่อยในผู้ป่วยโรคออฟฟิศซินโดรม เนื่องจากการนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์หลายชั่วโมง นั่งไม่ถูกท่า นั่งหลังค้อม อาจทำให้กล้ามเนื้อต้นคอ เมื่อย เกร็งอยู่ตลอด รวมถึงงานที่ต้องยืนนานๆ โดยเฉพาะคุณผู้หญิงที่ใส่ส้นสูง

-ปวดตึงที่ขา หรือเหน็บชา อาการชาเกิดจากการนั่งนานๆ ทำให้เส้นเลือดดำถูกกดทับและส่งผลให้เลือดไหลเวียนผิดปกติ

-ปวดตา ตาพร่า เนื่องจากต้องมีการมองหน้าจอคอมพิวเตอร์นานๆ หรือใช้สายตาอย่างหนักเป็นเวลานาน

-มือชา นิ้วล็อค ปวดข้อมือ เพราะการใช้คอมพิวเตอร์จับเมาส์ในท่าเดิมๆ นาน ทำให้กล้ามเนื้อกดทับเส้นประสาทและเส้นเอ็นจนอักเสบ เกิดพังผืดทำให้ปวดปลายประสาท นิ้วหรือข้อมือล็อคได้

การรักษาออฟฟิศซินโดรม

การรักษาโรคออฟฟิศซินโดรมมีด้วยกันหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการรักษาด้วยยา การปรับสภาพแวดล้อมในการทำงาน การออกกำลังกายเพื่อรักษาอาการปวด การทำกายภาพบำบัดด้วยเครื่องมือกายภาพบำบัด

กายภาพบำบัดช่วยได้อย่างไร

 

อย่างไรก็ตาม การใช้ชีวิตอยู่ประจำนี้อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพร่างกายและจิตใจของเราได้ ออฟฟิศซินโดรม หรือที่รู้จักในชื่อคอมพิวเตอร์ซินโดรม เป็นภาวะที่ส่งผลต่อผู้ที่นั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพต่างๆ เช่น ปวดคอ ปวดหลัง ปวดศีรษะ และอื่นๆ โชคดีที่การทำกายภาพบำบัดสามารถช่วยบรรเทาอาการออฟฟิศซินโดรมและทำให้คุณภาพชีวิตโดยรวมของคุณดีขึ้นได้ ในบทความนี้ เราจะพูดถึงว่าออฟฟิศซินโดรมส่งผลต่อร่างกายของคุณอย่างไร และกายภาพบำบัดสามารถช่วยให้คุณเอาชนะอาการนี้ได้อย่างไร ดังนั้น นั่งลงและอ่านต่อเพื่อค้นพบวิธีที่คุณสามารถรักษาสุขภาพให้แข็งแรงและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพแม้จะใช้เวลาอยู่ที่โต๊ะทำงานเป็นเวลานาน

 

 

Office syndrome กับ กายภาพบำบัด

Office Syndrome ส่งผลต่อร่างกายของคุณอย่างไร และกายภาพบำบัดช่วยได้อย่างไร

ในโลกปัจจุบันที่หมุนไปอย่างรวดเร็ว การนั่งที่โต๊ะเป็นเวลานานๆ กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเราอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าคุณจะเป็นนักเรียน มืออาชีพ หรือฟรีแลนซ์ การใช้เวลาหลายชั่วโมงอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์กลายเป็นเรื่องปกติ อย่างไรก็ตาม การใช้ชีวิตอยู่ประจำนี้อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพร่างกายและจิตใจของเราได้ ออฟฟิศซินโดรม หรือที่รู้จักในชื่อคอมพิวเตอร์ซินโดรม เป็นภาวะที่ส่งผลต่อผู้ที่นั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพต่างๆ เช่น ปวดคอ ปวดหลัง ปวดศีรษะ และอื่นๆ โชคดีที่การทำกายภาพบำบัดสามารถช่วยบรรเทาอาการออฟฟิศซินโดรมและทำให้คุณภาพชีวิตโดยรวมของคุณดีขึ้นได้ ในบทความนี้ เราจะพูดถึงว่าออฟฟิศซินโดรมส่งผลต่อร่างกายของคุณอย่างไร และกายภาพบำบัดสามารถช่วยให้คุณเอาชนะอาการนี้ได้อย่างไร ดังนั้น นั่งลงและอ่านต่อเพื่อค้นพบวิธีที่คุณสามารถรักษาสุขภาพให้แข็งแรงและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพแม้จะใช้เวลาอยู่ที่โต๊ะทำงานเป็นเวลานาน


สาเหตุของออฟฟิศซินโดรม

ออฟฟิศซินโดรม เกิดจากการนั่งทำงานนานๆ และท่าทางที่ไม่ถูกต้อง เมื่อคุณนั่งหน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน คุณมักจะโน้มตัวไปข้างหน้า หลังค่อมไหล่ และเอียงศีรษะไปข้างหน้า สิ่งนี้ทำให้กล้ามเนื้อคอ หลัง และไหล่ของคุณตึงมาก นอกจากนี้ การนั่งอยู่ในท่าเดิมเป็นเวลานานอาจทำให้เลือดไหลเวียนและออกซิเจนไปเลี้ยงกล้ามเนื้อลดลง ทำให้เกิดอาการปวดตึง
อีกสาเหตุหนึ่งของออฟฟิศซินโดรมคือการใช้คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ดิจิทัลอื่นๆ แสงสีฟ้าที่ปล่อยออกมาจากอุปกรณ์เหล่านี้สามารถรบกวนรูปแบบการนอนหลับของคุณ ซึ่งนำไปสู่ความเหนื่อยล้าและเหนื่อยล้า นอกจากนี้ การจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์นานหลายชั่วโมงอาจทำให้ปวดตา ปวดศีรษะ และตาแห้งได้
ในที่สุด การใช้ชีวิตแบบนั่งนิ่งอาจทำให้น้ำหนักขึ้นและเป็นโรคอ้วนได้ เมื่อคุณนั่งเป็นเวลานาน คุณจะเผาผลาญแคลอรี่ได้น้อยกว่าเมื่อคุณยืนหรือเคลื่อนที่ไปรอบๆ เมื่อเวลาผ่านไป สิ่งนี้สามารถนำไปสู่การสะสมของไขมันในร่างกายและความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับโรคอ้วน

อาการของออฟฟิศซินโดรม

อาการของออฟฟิศซินโดรมอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล อย่างไรก็ตาม อาการที่พบบ่อย ได้แก่ ปวดคอ ปวดหลัง ปวดไหล่ และปวดศีรษะ นอกจากนี้ คุณอาจมีอาการปวดข้อมือ มือชา และกลุ่มอาการคาร์พัลทันเนล
นอกจากนี้ ออฟฟิศซินโดรมยังทำให้ปวดตา ตาพร่ามัว และตาแห้งอีกด้วย นอกจากนี้ คุณยังอาจรู้สึกเหนื่อยล้า เหนื่อยล้า และมีสมาธิลำบากอีกด้วย ในบางกรณี ออฟฟิศซินโดรมสามารถนำไปสู่ภาวะซึมเศร้า วิตกกังวล และปัญหาสุขภาพจิตอื่นๆ

 

 

วิธีบรรเทาอาการกล้ามเนื้ออักเสบตามธรรมชาติ: เคล็ดลับและคำแนะนำเพื่อการบรรเทาอาการอย่างรวดเร็ว

กล้ามเนื้ออักเสบเป็นปัญหาทั่วไปที่ส่งผลต่อคนทุกวัยและทุกระดับความฟิต ไม่ว่าคุณจะเป็นนักกีฬาหรือเพียงแค่คนที่ใช้เวลาส่วนใหญ่นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน การอักเสบของกล้ามเนื้ออาจเป็นภาวะที่เจ็บปวดและน่าหงุดหงิดที่อาจรบกวนชีวิตประจำวันของคุณ โชคดีที่มีวิธีการรักษาตามธรรมชาติมากมายที่สามารถช่วยบรรเทาอาการอักเสบของกล้ามเนื้อและบรรเทาได้อย่างรวดเร็ว ตั้งแต่การรวมอาหารต้านการอักเสบเข้ากับอาหารของคุณไปจนถึงการฝึกโยคะและการทำสมาธิ มีวิธีง่ายๆ และมีประสิทธิภาพมากมายในการลดการอักเสบและส่งเสริมการรักษา ในบทความนี้ เราจะสำรวจเคล็ดลับและกลเม็ดยอดนิยมบางประการในการบรรเทาอาการอักเสบของกล้ามเนื้อตามธรรมชาติ เพื่อให้คุณกลับมารู้สึกดีที่สุดได้อีกครั้ง ดังนั้น ไม่ว่าคุณกำลังเผชิญกับอาการเจ็บกล้ามเนื้อจากการออกกำลังกายอย่างหนักหรืออาการอักเสบเรื้อรังเนื่องจากสภาวะทางการแพทย์ โปรดอ่านต่อเพื่อค้นพบกลยุทธ์ที่เป็นประโยชน์ในการบรรเทาอย่างรวดเร็ว


ทำความเข้าใจเกี่ยวกับการอักเสบของกล้ามเนื้อ

กล้ามเนื้ออักเสบหรือที่เรียกว่า myositis เป็นภาวะที่มีอาการอักเสบและปวดในกล้ามเนื้อ อาจเกิดจากหลายปัจจัย รวมถึงการบาดเจ็บ การใช้งานมากเกินไป การติดเชื้อ หรือความผิดปกติของภูมิต้านทานตนเอง เช่น โรคลูปัสหรือโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ เมื่อกล้ามเนื้ออักเสบ พวกเขาอาจรู้สึกอ่อน บวม และแข็ง ในบางกรณี กล้ามเนื้ออักเสบอาจทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงและเคลื่อนไหวลำบาก

 

การอักเสบของกล้ามเนื้ออาจเกิดจากหลายปัจจัย ได้แก่:

#บาดเจ็บ
การบาดเจ็บ เช่น ความเครียด การเคล็ดขัดยอก อาจทำให้กล้ามเนื้ออักเสบได้ เมื่อกล้ามเนื้อได้รับความเสียหาย ร่างกายจะตอบสนองด้วยการส่งเซลล์ภูมิคุ้มกันไปยังบริเวณนั้นเพื่อส่งเสริมการรักษา การตอบสนองทางภูมิคุ้มกันนี้อาจทำให้เกิดการอักเสบและความเจ็บปวดได้
#ใช้มากเกินไป
การใช้กล้ามเนื้อมากเกินไปอาจทำให้เกิดการอักเสบได้ เป็นเรื่องปกติในนักกีฬาที่ทำการเคลื่อนไหวซ้ำๆ เช่น นักวิ่งหรือนักว่ายน้ำ การใช้งานมากเกินไปอาจเกิดขึ้นได้ในผู้ที่ทำงานด้วยตนเองหรือใช้เวลานานที่โต๊ะทำงาน
##การติดเชื้อ
การติดเชื้อ เช่น ไข้หวัดหรือโรคไวรัสอาจทำให้กล้ามเนื้ออักเสบเนื่องจากร่างกายต่อสู้กับการติดเชื้อ สิ่งนี้เรียกว่า myositis จากไวรัส
##โรคภูมิต้านตนเอง
ความผิดปกติของภูมิต้านทานผิดปกติ เช่น โรคลูปัสหรือโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์สามารถทำให้เกิดการอักเสบของกล้ามเนื้อ เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายโจมตีเนื้อเยื่อของตัวเอง

อาการของกล้ามเนื้ออักเสบ

อาการของกล้ามเนื้ออักเสบอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับความรุนแรงและสาเหตุของการอักเสบ อาการทั่วไป ได้แก่:
- ปวดหรือกดเจ็บบริเวณกล้ามเนื้อที่ได้รับผลกระทบ
- บวมหรือแข็งในบริเวณที่ได้รับผลกระทบ
- กล้ามเนื้ออ่อนแรงหรือเคลื่อนไหวลำบาก
- ความเมื่อยล้าหรือวิงเวียน
หากคุณกำลังประสบกับอาการเหล่านี้ สิ่งสำคัญคือต้องไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุของการอักเสบของกล้ามเนื้อและพัฒนาแผนการรักษาที่เหมาะสม ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจะโจมตีเนื้อเยื่อของตัวเอง

การเยียวยาธรรมชาติสำหรับการอักเสบของกล้ามเนื้อ

โชคดีที่มีวิธีการรักษาตามธรรมชาติมากมายที่สามารถช่วยบรรเทาอาการอักเสบของกล้ามเนื้อและบรรเทาได้อย่างรวดเร็ว

#อาหารเสริมลดการอักเสบของกล้ามเนื้อ
อาหารเสริม เช่น กรดไขมันโอเมก้า 3 เคอร์คูมิน และขิง สามารถช่วยลดการอักเสบในร่างกายได้ กรดไขมันโอเมก้า 3 ที่พบในน้ำมันปลาและน้ำมันเมล็ดแฟลกซ์สามารถช่วยลดการอักเสบและอาการปวดข้อได้ เคอร์คูมินที่พบในขมิ้นมีคุณสมบัติต้านการอักเสบที่มีประสิทธิภาพ มีการแสดงขิงเพื่อลดอาการปวดกล้ามเนื้อและปวดเมื่อย

#อาหารที่ควรกินเพื่อลดการอักเสบ
การรวมอาหารต้านการอักเสบไว้ในอาหารของคุณสามารถช่วยลดการอักเสบของกล้ามเนื้อได้ อาหารเช่น ปลาที่มีไขมัน ผักใบเขียว เบอร์รี่ และถั่ว ล้วนอุดมไปด้วยสารต้านการอักเสบ การหลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป น้ำตาล และไขมันทรานส์สามารถช่วยลดการอักเสบในร่างกายได้

#การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตเพื่อลดการอักเสบ
การปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิต เช่น ลดความเครียด นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอสามารถช่วยลดการอักเสบในร่างกายได้ ความเครียดและการอดนอนอาจทำให้เกิดการอักเสบได้ ในขณะที่การออกกำลังกายสามารถช่วยลดการอักเสบและส่งเสริมการรักษา

#น้ำมันหอมระเหยสำหรับบรรเทาอาการอักเสบของกล้ามเนื้อ
น้ำมันหอมระเหย เช่น เปปเปอร์มินต์ ลาเวนเดอร์ และยูคาลิปตัสสามารถช่วยบรรเทาอาการอักเสบและปวดของกล้ามเนื้อได้ น้ำมันเปปเปอร์มินต์มีคุณสมบัติระบายความร้อนที่สามารถช่วยลดอาการปวดกล้ามเนื้อและปวดเมื่อยได้ น้ำมันลาเวนเดอร์มีคุณสมบัติต้านการอักเสบและช่วยลดการอักเสบในร่างกายได้ น้ำมันยูคาลิปตัสมีคุณสมบัติเป็นยาแก้ปวดและช่วยบรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อได้

#การออกกำลังกายเพื่อบรรเทาอาการอักเสบของกล้ามเนื้อ
การออกกำลังกายเบาๆ เช่น โยคะ การยืดกล้ามเนื้อ และโฟมโรลลิ่ง สามารถช่วยบรรเทาอาการอักเสบและปวดของกล้ามเนื้อได้ โยคะสามารถช่วยลดการอักเสบในร่างกายและส่งเสริมการผ่อนคลาย การยืดกล้ามเนื้อสามารถช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและลดความตึงของกล้ามเนื้อได้ โฟมโรลลิ่งสามารถช่วยลดอาการปวดและอักเสบของกล้ามเนื้อได้

การอักเสบของกล้ามเนื้ออาจเป็นอาการที่เจ็บปวดและน่าหงุดหงิด แต่มีวิธีรักษาตามธรรมชาติหลายอย่างที่สามารถช่วยบรรเทาอาการอักเสบและบรรเทาอาการได้อย่างรวดเร็ว ตั้งแต่การรวมอาหารต้านการอักเสบเข้ากับอาหารของคุณไปจนถึงการฝึกโยคะและการทำสมาธิ มีวิธีง่ายๆ และมีประสิทธิภาพมากมายในการลดการอักเสบและส่งเสริมการรักษา การให้การรักษาตามธรรมชาติเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของกิจวัตรประจำวันของคุณ คุณจะสามารถบรรเทาอาการอักเสบของกล้ามเนื้อและกลับมารู้สึกดีที่สุดได้


แนวทางกายภาพบำบัดทั่วไปเพื่อลดการอักเสบของกล้ามเนื้อ

การทำกายภาพบำบัดเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการลดการอักเสบของกล้ามเนื้อและปรับปรุงการเคลื่อนไหวโดยรวม ต่อไปนี้เป็นวิธีกายภาพบำบัดที่ใช้กันทั่วไปเพื่อลดการอักเสบของกล้ามเนื้อ:
#เทคนิคการเผยแพร่ที่ใช้งานอยู่ (ART)
Active Release Technique (ART) เป็นการบำบัดด้วยมือประเภทหนึ่งที่ใช้รักษาอาการบาดเจ็บของเนื้อเยื่ออ่อนและลดการอักเสบของกล้ามเนื้อ ระหว่างการทำ ART นักกายภาพบำบัดจะใช้มือกดบริเวณที่มีอาการ ขณะที่ผู้ป่วยทำการเคลื่อนไหวเฉพาะจุด วิธีนี้จะช่วยสลายเนื้อเยื่อแผลเป็นและการยึดเกาะ ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการปวดและอักเสบได้
#เครื่องมือช่วยการเคลื่อนย้ายเนื้อเยื่ออ่อน (IASTM)
เครื่องมือช่วยการเคลื่อนตัวของเนื้อเยื่ออ่อน (IASTM) เป็นเทคนิคที่ใช้เครื่องมือพิเศษในการนวดและยืดกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อ เครื่องมือนี้ออกแบบมาเพื่อใช้แรงกดบนพื้นที่เฉพาะ ช่วยสลายเนื้อเยื่อแผลเป็นและการยึดเกาะ เทคนิคนี้ได้ผลอย่างยิ่งในการรักษาอาการอักเสบและอาการปวดเรื้อรัง
#การบำบัดด้วยตนเอง
การบำบัดด้วยตนเองเป็นการบำบัดทางกายภาพประเภทหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับเทคนิคการปฏิบัติจริงเพื่อลดการอักเสบของกล้ามเนื้อและปรับปรุงการเคลื่อนไหว ซึ่งอาจรวมถึงเทคนิคต่างๆ เช่น การนวด การเคลื่อนข้อต่อ และการยืดกล้ามเนื้อ การบำบัดด้วยมือจะมีประสิทธิภาพโดยเฉพาะอย่างยิ่งในการรักษาอาการอักเสบและความเจ็บปวดที่เกิดจากการบาดเจ็บมากเกินไป
#การออกกำลังกายยืดและเสริมสร้างความเข้มแข็ง
การออกกำลังกายยืดและเสริมสร้างความแข็งแรงเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการลดการอักเสบของกล้ามเนื้อและปรับปรุงการเคลื่อนไหวโดยรวม นักกายภาพบำบัดสามารถสร้างโปรแกรมการออกกำลังกายแบบกำหนดเองโดยกำหนดเป้าหมายไปที่กล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อเฉพาะที่ก่อให้เกิดความเจ็บปวดและการอักเสบ การยืดกล้ามเนื้อสามารถช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและลดความตึงของกล้ามเนื้อ ในขณะที่การออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงสามารถช่วยสร้างกล้ามเนื้อและปรับปรุงการทำงานโดยรวม
#การบำบัดด้วยความเย็นและความร้อน
การบำบัดด้วยความเย็นและความร้อนเป็นสองเทคนิคที่สามารถใช้เพื่อลดการอักเสบและความเจ็บปวดของกล้ามเนื้อ การบำบัดด้วยความเย็นเกี่ยวข้องกับการใช้ความเย็นเพื่อลดการอักเสบ ในขณะที่การบำบัดด้วยความร้อนเกี่ยวข้องกับการใช้ความร้อนเพื่อเพิ่มการไหลเวียนของเลือดและลดความเจ็บปวด เทคนิคทั้งสองสามารถมีประสิทธิภาพในการลดการอักเสบและปรับปรุงการเคลื่อนไหว
#โภชนาการกับการอักเสบของกล้ามเนื้อ
โภชนาการยังสามารถมีบทบาทในการลดการอักเสบของกล้ามเนื้อ อาหารที่อุดมด้วยอาหารต้านการอักเสบ เช่น ผลไม้ ผัก และเมล็ดธัญพืช สามารถช่วยลดการอักเสบและทำให้สุขภาพโดยรวมดีขึ้นได้ ในทางกลับกัน การรับประทานอาหารแปรรูปและน้ำตาลสูงอาจทำให้เกิดอาการอักเสบและปวดเรื้อรังได้

ท่าบริหาร อาการปวดหลังส่วนล่าง

อาการปวดหลังส่วนล่าง

การปวดหลังส่วนล่างเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ รวมถึงการบาดเจ็บหรือการอักเสบของกล้ามเนื้อหรือเส้นประสาทบริเวณหลังส่วนล่าง นอกจากนี้ อาการปวดหลังส่วนล่างยังเกิดจากปัจจัยต่างๆ เช่นการนั่งทำงานนานเกินไป การยืนหรือเดินเป็นเวลานาน ออกกำลังการผิดวิธี การเคลื่อนหรือทำกิจกรรมในท่าที่ไม่ถูกต้อง


ท่าบริหาร แก้อาการปวดหลัง

ท่าที่ 1 ท่าแมวและวัว (Cat and cow) : ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหลังและหน้าท้อง

ท่าเริ่มต้น

  • อยู่ในท่าตั้งคลาน วางเข่าอยู่ระดับสะโพกและมือที่ระดับไหล่
  • จัดแนวกระดูกสันหลัง กระดูกคอ อกและเอวให้อยู่ระดับเดียวกัน

ท่าแมว (Cat Pose) ทำขณะหายใจออก

  • โก่งหลังขึ้นหาเพดาน
  • ปล่อยศีรษะตกสบายๆ
  • ขมิบก้น กดเข่าลงพื้น
  • ขณะหายใจออก นับ1-3ช้าๆแล้วจึงเปลี่ยนเป็นท่าวัว

ท่าวัว (Cow Pose) ทำขณะหายใจเข้า

  • แอ่นหลังและหย่อนหน้าท้องลงหาพื้น
  • เงยหน้ามองเพดานหรือมองไปด้านหน้า

ทำท่าแมวและวัวสลับกันช้าๆ นับเป็น 1 รอบ ทำ 10 รอบต่อวัน

ท่าที่ 2 ท่าเกร็งกดหลังและหน้าท้องลง (Pelvic tilt) : นอกจากช่วยเสริมสร้างความแข็งแรง ทั้งหลัง ก้นและหน้าท้องแล้ว ยังช่วยเพิ่มแรงดันในช่องท้องประคองไม่ให้แรงมากระทำกับกระดูกสันหลังมากเกินไป

  • นอนหงาย ชันเข่าทั้งสองข้าง
  • เกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้องและสะโพกโดยการขมิบก้น แขม่วท้อง กดหลังติดพื้น
  • เกร็งค้างไว้นับ 1-5 ช้าๆ แล้วปล่อย ไม่ควรกลั้นหายใจขณะเกร็ง
  • นับ 1-5 ถือเป็น 1 รอบ ทำ 10 รอบ/เซต (เช้า-เย็น)

ท่าที่ 3 ท่านอนบิดสะโพก (Trunk rotation) : เพิ่มความยืดหยุ่นให้กับกล้ามเนื้อและข้อต่อบริเวณสะโพก

  • นอนหงาย ชันเข่าทั้งสองข้าง
  • บิดเข่าทั้งสองข้างไปด้านใดด้านหนึ่งจนรู้สึกตึงบริเวณหลัง
  • ค้างไว้ 5 วินาที โดยไม่กลั้นหายใจ เพื่อเป็นการยืดหลัง
  • ทำ 10 ครั้ง/เซต ทั้งหมด 10 เซต/วัน

*ข้อควรระวัง : ผู้ป่วยที่มีภาวะกระดูกสันหลังไม่คงที่และผู้ป่วยที่มีอาการชา หรือปวดร้าวลงขา ควรหยุดทันที

ท่าที่ 4 ท่าดึงเข่าชิดอก (Single knee to chest) : บริเวณหลังส่วนล่างจะถูกยืดเหยียด และลดความตึงตัวของกล้ามเนื้อ

  • นอนราบบนพื้น งอเข่าหนึ่งข้างเข้าหาลำตัว
  • ประสานนิ้วมือทั้งสองข้างช้อนใต้เข่า
  • ดึงเข่าเข้าหาหน้าอกให้มากที่สุด จนรู้สึกตึงกล้ามเนื้อหลังส่วนล่างและไม่เจ็บ
  • ทำค้างไว้ข้างละ 20 วินาที แล้วค่อยๆผ่อนลงไปท่านอนราบเหมือนเดิม
  • ทำด้านขวาสลับด้านซ้ายถือเป็น 1 รอบ ทำ 10 รอบ/เซต (เช้า-เย็น)

ท่าที่ 5 ออกกำลังกายหน้าท้อง (Abdominal curl) : การที่กล้ามเนื้อหน้าท้องแข็งแรงส่งผลให้กล้ามเนื้อหน้าท้องส่วนลึกช่วยประคองให้กระดูกสันหลังมีความมั่นคงมากขึ้น แล้วทำให้ปวดหลังน้อยลง

  • นอนราบ ชันเข่าขึ้นทั้งสองข้าง
  • แขนสองข้างเหยียดตรงข้างลำตัว
  • ยกศีรษะและไหล่ขึ้นเหนือพื้นหรือเตียง
  • นับ 1-10 ค้างไว้ช้าๆ แล้วค่อยๆผ่อนลง ถือเป็น 1 รอบ
  • ค้าง 10 วินาที/รอบ ทำ 10 รอบ/เซต (เช้า-เย็น)

 

 

อาการปวดหลังส่วนล่างในผู้หญิงเกิดจากอะไรได้บ้าง

 

อาการปวดหลังส่วนล่างเป็นอาการที่พบได้บ่อยในผู้หญิงและสาเหตุของอาการนี้อาจเกิดจากหลายปัจจัย เช่น ท่าทางไม่ถูกต้อง, การเคลื่อนไหวผิดปกติ, การบาดเจ็บหรือโรคทางการแพทย์ และบางปัจจัยที่อาจส่งผลต่ออาการปวดหลังส่วนล่างในผู้หญิงได้ สาเหตุที่พบบ่อย มีดังนี้

1.การตั้งครรภ์: การถ่วงของครรภ์ที่อยู่ด้านหน้าเพิ่มขึ้น ส่งผลให้กระดูกสันหลังแอ่นเป็นเวลานาน และการแบกรับน้ำหนักตัวที่เพิ่มมากขึ้นซึ่งจะทำให้เกิดอาการปวด นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนระหว่างการตั้งครรภ์ โดยเฉพาะฮอร์โมนรีแลกซิน (Relaxin) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่สร้างมาจากรังไข่ขณะตั้งครรภ์ เพื่อช่วยกระตุ้นการคลายตัวเอ็นยึดกระดูกเชิงกรานให้คลอดง่ายขึ้น ซึ่งบางครั้งส่งผลให้มีอาการปวดหลังได้ รวมถึงเมื่ออายุครรภ์ 5 เดือนเป็นต้นไป ทารกจะดึงแคลเซียมจากกระแสเลือดคุณแม่ไปใช้ในการสร้างกระดูกและฟัน เป็นเหตุให้เกิดการกร่อนของกระดูก นำมาซึ่งอาการปวดหลังในที่สุด

2.รอบเดือน: เมื่อฮอร์โมนเอสโทรเจน(Estrogen)และโพรเจสเทอโรน (Progesterone) ลดระดับลงแล้ว มดลูกจะเริ่มหดตัวเพื่อขับเยื่อบุโพรงมดลูกออกมาเป็นเลือดประจำเดือน ซึ่งในผู้หญิงบางคน มดลูกอาจจะหดตัวเยอะมากจนไปกดเส้นเลือดในบริเวณใกล้เคียง ทำให้ออกซิเจนไม่สามารถไปหล่อเลี้ยงกล้ามเนื้อในบริเวณดังกล่าวได้มากเท่าที่ควร จึงส่งผลให้เกิดอาการปวดบริเวณท้องน้อย และลามมาถึงบริเวณหลังช่วงล่างได้

3.โรคกระดูกพรุน (Osteoporosis): มักพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย เนื่องจากฮอร์โมน เพศหญิงจะเห็นได้ชัดเจนในช่วง 5 ปีแรกของการหมดประจำเดือน ซึ่งในช่วงนั้นผู้หญิงจะมีการสูญเสียเนื้อกระดูกอย่างรวดเร็ว (3-5 เปอร์เซ็นต์ต่อปี เป็นเวลา 5 ปี ) หรือสูงถึง 15-25 เปอร์เซ็นต์ของกระดูกในร่างกาย การสูญเสียมวลกระดูก ทำให้กระดูกเสียคุณสมบัติการรับน้ำหนัก กระดูกเปราะ หักง่าย ส่งผลต่ออาการปวดหลังได้

4.Arthritis: การอักเสบของข้อต่อในกระดูกสันหลังสามารถก่อให้เกิดอาการปวดหลังส่วนล่างได้ พบบ่อยในผู้หญิงที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้น

5.การเคลื่อนไหวผิดวิธีหรือได้รับบาดเจ็บกล้ามเนื้อ: สาเหตุนี้สามารถเกิดจากการยกของหนักๆ หรือการงอตัวหรือหมุนตัวผิดวิธี รวมถึงท่าทางในการนั่งทำงานที่ไม่เหมาะสม ซึ่งอาจทำให้ปวดหลังส่วนล่างได้

6.ปัญหาโครงสร้างของกระดูกสันหลัง: ผู้หญิงที่มีโรคกระดูกสันหลังคด (scoliosis), โรคโพรงกระดูกสันหลังตีบแคบ (spinal stenosis) หรือปัญหาโครงสร้างอื่นๆ ในกระดูกสันหลังอาจมีโอกาสเกิดอาการปวดหลังส่วนล่างได้มากขึ้น

7.Disc herniation: สาเหตุอาจเกิดจากการยกของหนักในท่าที่ผิด ทำให้หมอนรองกระดูกสันหลังเกิดการปลิ้นหรือในแตก อาจส่งผลให้มีการกดทับเส้นประสาทบริเวณข้างเคียง เกิดอาการปวดหลังส่วนล่างหรือบางรายอาจมรอาการปวดร้าวลงขาร่วมด้วย

8.โรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (Endometriosis): โดยอาจแทรกตัวอยู่ในผนังหรือกล้ามเนื้อมดลูก หรืออาจเล็ดลอดเข้าไปในช่องท้องจนไปเจริญเติบโตอยู่ตามอวัยวะต่างๆในอุ้งชิงกราน เช่น เยื่อบุช่องท้อง รังไข่ ผนังลำไส้ และผนังกระเพาะปัสสาวะ เยื่อบุโพรงมดลูกที่เจริญผิดที่นี้ ถือเป็นปฏิกิริยาการอักเสบที่ขึ้นกับฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen-dependent, benign, inflammatory disease) เมื่อไปเจริญเติบโตอยู่ผิดที่ก็จะยังคงทำหน้าที่เช่นเดิม คือ สร้างประจำเดือน จึงทำให้มีเลือดสีแดงคล้ำหรือสีดำข้นคล้ายช็อกโกแลตขังอยู่ตามอวัยวะต่างๆ ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของอาการผิดปกติต่างๆที่พบได้ในผู้ป่วยโรคนี้ เช่น ปวดท้องลามไปถึงหลังส่วนล่าง ปวดประจำเดือน ปวดท้องน้อยเรื้อรัง และมีบุตรยาก

9.Fibromyalgia: เป็นกลุ่มอาการปวดเรื้อรัง โดยอาการปวดมักจะกระจายหลายจุดตามร่างกาย โดยเฉพาะที่เป็นตำเหน่ง ของกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น และเนื้อเยื่ออ่อนของร่างกาย บริเวณที่พบว่ามีอาการบ่อยคือ ศีรษะ คอ บ่า และหลัง บางรายปวดทั้งตัว นอกจากอาการปวดยังอาจมีอาการร่วมอื่นๆได้หลายอาการ ได้แก่ อาการอ่อนเพลีย นอนหลับไม่ สนิท สมาธิและความจำถดถอย รวมถึงความเครียดและอารมณ์ซึมเศร้า พบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย 8 เท่า พบมากในวัยกลางคนอายุระหว่าง 35-60 ปี

10.โรคนิ่วในไต (Kidney Stone):เกิดจากการตกตะกอนของสารในปัสสาวะ ในภาวะปติสารเหล่านี้จะละลายไม่จับตัวกันเป็นนิ่ว แต่ในผู้ที่เป็นโรคนิ่วจะมีภาวะที่ทำให้สารละลายต่างๆเกิดการตกตะกอนได้ง่ายกว่าปกติจนจับตัวเป็นก้อน หากเป็นนิ่วที่มีขนาดใหญ่ อาจทำให้เกิดอาการปวดหลัง ปวดเอวเรื้อรัง มีการติดเชื้อในระบบปัสสาวะ และทำทำไตสูญเสียการทำงานจนเกิดภาวะไตวายได้

11.Cystic ovary: ซีสต์มีลักษณะเป็นถุงที่เต็มไปด้วยของเหลว ซึ่งสามารถก่อตัวขึ้นได้ในรังไข่ เมื่อเกิดการตกไข่ผิดปกติจะทำให้เกิดการคั่ง มีถุงน้ำในรังไข่ หรือไข่ไม่ตก ทำให้เกิดเป็นถุงน้ำขนาดเล็กในรังไข่ทั้งสองข้าง มักพบอาการปวดท้อง ปวดปัสสาวะบ่อยหรือปัสสาวะลำบาก เจ็บหรือปวดหลังส่วนล่าง ปวดประจำเดือนมากหรือมีเลือดออกผิดปกติ

  1. ภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบ (Pelvic inflammatory disease :PID) หมายถึง ภาวะที่มีการติดเชื้อในระบบสืบพันธุ์เพศหญิงส่วนบน ได้แก่ มดลูก (endometritis) ท่อนำไข่ (salpingitis) รังไข่ (oophoritis) และเยื่อบุช่องท้องในอุ้งเชิงกราน (pelvic peritonitis) อาจก่อให้เกิดอาการปวดหลังล่าง รวมถึงอาการอื่นๆ เช่น ปวดท้องและไข้ โดยส่วนต่างๆของระบบสืบพันธุ์ของผู้หญิง อาจเกิดการติดเชื้อ จากเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส หรือจากเชื้อราและ อย่างไรก็ตาม หากมีอาการปวดหลังล่างหรืออาการอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับระบบสืบพันธุ์ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อการวินิจฉัยและการรักษาเพิ่มเติม

13.มะเร็ง: ในกรณีที่หากพบว่ามีอาการปวดหลังส่วนล่างอย่างรุนแรงและไม่สามารถอธิบายได้ว่ามาจากสาเหตุใด น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ อาจจะเกิดจากมะเร็งที่กระจายไปยังกระดูกสันหลังหรือเนื้อเยื่อใกล้เคียงได้

14.ภาวะน้ำหนักเกิน (Obesity): ในผู้ที่มีภาวะน้ำหนักเกินมาตรฐานส่งผลให้กระดูกสันหลังรับน้ำหนักมากกว่าคนปกติ โดยเฉพาะผู้ที่มีภาวะอ้วนลงพุง น้ำหนักที่มากขึ้นบวกกับพุงที่ยื่นมาด้านหน้า ทำให้กล้ามเนื้อหลังออกแรงดึงมากขึ้น หลังแอ่นมาก และหากต้องดึงเป็นเวลานานๆ จะส่งผลให้หมอนรองกระดูกรับน้ำหนักไม่สมดุลกัน อาจเคลื่อนหรือปลิ้นทับเส้นประสาท ส่งผลให้เกิดหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท กระดูกสันหลังเสื่อมเร็ว ปวดหลังเรื้อรังร้าวลงไปขา บางครั้งอาจมีการอ่อนแรงร่วมด้วย

15.ปัจจัยทางจิตวิทยา: ความเครียด ความวิตกกังวล และภาวะซึมเศร้า สามารถทำให้เกิดอาการปวดหลังส่วนล่างได้ในผู้หญิงเมื่อความเครียด กล้ามเนื้อเกร็งตัวโดยที่เราไม่รู้ตัวและความกังวลจะกระตุ้นให้ร่างกายเกิดความเครียด ร่างกายจึงหลั่งสารเคมีแห่งความเครียดออกไปสู่กล้ามเนื้อ เมื่อเกิดการสะสมากๆ ก็จะเกิดอาการปวดตามมาได้ เช่น ปวดหลัง, ไหล่และคอ เป็นต้น

 

วิธีการรักษาอาการปวดหลังล่างในผู้หญิงจะขึ้นอยู่กับสาเหตุของโรค และอาจรวมถึงการใช้ยารักษาอาการปวด กายภาพบำบัด การออกกำลังกาย และการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม เช่น การลดน้ำหนักและเลิกสูบบุหรี่ ในบางกรณีอาจจำเป็นต้องผ่าตัด เช่น ในกรณีของการทำลายเส้นประสาทสันหลังหรือกระดูกสันหลังแตกอย่างรุนแรง จึงจำเป็นต้องปรึกษาแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับอาการและความกังวลที่อาจมีเสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการปวดหลังส่วนล่างได้