คลินิกกายภาพบำบัด บางพลัด MRT สิรินธร

ปวดกล้ามเนื้อเรื้อรัง

ปวดกล้ามเนื้อเรื้อรัง

หมายถึงความปวดเรื้อรังในกล้ามเนื้อที่เป็นปัญหาต่อเนื่องและมักเกิดเป็นอาการปวดเรื้อรังเป็นเวลานานหรือเป็นประจำตลอดเวลา อาการปวดกล้ามเนื้อเรื้อรัง (Chronic Muscular Pain) โดยไม่มีสาเหตุที่ชัดเจน อาการที่แท้จริงของปวดกล้ามเนื้อเรื้อรังมักเป็นอาการปวดและ”จุดปวด” และอาจเกิดได้ในหลายส่วนของร่างกาย

สาเหตุ

ปวดกล้ามเนื้อเรื้อรังยังไม่ชัดเจน แต่มีปัจจัยหลายอย่างที่อาจมีผลในการเป็นโรคนี้ เช่น ความเครียด, การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ, การทำงานหนัก, การบาดเจ็บกล้ามเนื้อ, หรือปัจจัยทางพฤติกรรมอื่น ๆ อาการอื่น ๆ ที่อาจเกิดร่วมไปกับปวดกล้ามเนื้อเรื้อรังรวมถึงเจ็บปวดในข้อต่อ, ปัญหาในการนอนหลับ, ความเมื่อยล้า, และอาการเจ็บหรือชาในอวัยวะอื่น ๆ ได้รวมทั้ง ปัญหาการเกิดอาการเมื่อยและอ่อนล้าของกล้ามเนื้อ

การรักษาปวดกล้ามเนื้อเรื้อรังมักจะเน้นการจัดการอาการ โดยการควบคุมความเครียด, การออกกำลังกายอย่างเหมาะสม, การใช้ยาและการฝึกปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอาหาร นอกจากนี้การรักษาเสริมด้วยการประคับกล้ามเนื้อ, การฝึกอบรมการควบคุมกล้ามเนื้อ, และการรับบริการจากนักบำบัดทางกายภาพอาจช่วยให้คุณมีอาการดีขึ้นได้ คุณควรพบแพทย์หากคุณมีปัญหาปวดกล้ามเนื้อเรื้อรังเพื่อให้ได้การวินิจฉัยและแผนการรักษาที่เหมาะสมสำหรับคุณและสามารถป้องกันการเป็นโรคนี้ด้วยการดูแลสุขภาพอย่างดีและลดความเครียดตามเที่ยวที่จะเป็นไปได้

 

อาการ

อาการของปวดกล้ามเนื้อเรื้อรังมีลักษณะหลายประการและอาจแตกต่างไปตามบุคคลแต่ละคน อาการที่พบบ่อยรวมถึง:

1.ปวดกล้ามเนื้อ: อาการปวดอาจเรื้อรัง,ปวดคอเรื้อรังได้ และอาจปวดตามข้อต่าง ๆ ในร่างกาย

2.ปวดคอ: กล้ามเนื้อมักมีความตึง ทำให้เกิดความบกพร่องต่อการเคลื่อนไหวของร่างกาย

3.เจ็บปวดในข้อ: บางครั้งปวดกล้ามเนื้อเรื้อรังอาจส่งผลให้ข้อต่อเกิดอาการเจ็บปวดและอาจก่อให้เกิดความบกพร่องในการเคลื่อนไหวของข้อ

4.ความเมื่อยและอ่อนล้า: คนที่มีปวดกล้ามเนื้อเรื้อรังอาจรู้สึกเหนื่อยและอ่อนล้าได้ง่ายขึ้น

5.อาการนอนไม่หลับ: ปวดกล้ามเนื้อเรื้อรังอาจทำให้มีปัญหาในการนอนหลับหรือทำให้คุณตื่นขึ้นตอนกลางดึก

6.อาการเจ็บหรือชาในบางส่วนของร่างกาย: ปวดกล้ามเนื้อเรื้อรังอาจร่วมกับอาการเจ็บหรือชาในส่วนของร่างกายที่เป็นจุดปวด

7.ปัญหาการควบคุมอารมณ์: ส่วนหนึ่งของคนที่มีปวดกล้ามเนื้อเรื้อรังอาจมีปัญหาในการควบคุมอารมณ์ และรู้สึกวิตกกังวล

อาการเหล่านี้มักเกิดเป็นระยะยาวและอาจเป็นปัญหาที่รักษายาก หากคุณมีอาการเหล่านี้และสงสัยว่าคุณอาจเป็นโรคปวดกล้ามเนื้อเรื้อรัง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรับคำแนะนำเกี่ยวกับการรักษาและกายภาพบำบัด

ระยะความรุนแรง

ปวดกล้ามเนื้อเรื้อรังมีระยะความรุนแรงที่แตกต่างไปได้ตามบุคคลแต่ละคนและตามปัจจัยต่าง ๆ ระยะความรุนแรงของโรคนี้อาจแบ่งเป็นสามระดับหลักคือ:

1.ระยะความรุนแรงต่ำ: ในระยะแรกๆ ของโรค, ความเจ็บปวดและการอักเสบอาจไม่รุนแรงมาก และมักเป็นอาการที่จะหายไปเองหากคนที่ป่วยมีการพักผ่อนเพียงพอ ระยะนี้อาจไม่มีอาการอื่น ๆ

2.ระยะความรุนแรงปานกลาง: ในระยะนี้, อาการปวดและการอักสบมีความรุนแรงมากขึ้น และเห็นได้อย่างชัดเจน ความอ่อนล้าอาจก่อให้เกิดการปวดและอักเสบของกล้ามเนื้อทำให้ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของร่างกาย เช่น มีปัญหาในการเดิน หรือใช้แขนและขา

3.ระยะความรุนแรงสูง: ในระยะสุดท้าย, อาการปวดและอักเสบมีความรุนแรงมากที่สุด และมักมีปัญหาในการเคลื่อนไหว คนที่อยู่ในระยะนี้อาจจำเป็นต้องพยายามหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้ปวดมากขึ้น และอาจต้องพบแพทย์หรือนักบำบัดทางกายเพื่อรับการรักษาและการบำบัดทางกายเพื่อควบคุมอาการ

 

ควรระมัดระวังและดูแลระดับความรุนแรงของโรคตลอดเวลา เนื่องจากมีความเป็นไปได้ที่ความรุนแรงของโรคจะเปลี่ยนแปลง การรักษาและการบำบัดทางกายที่เหมาะสมอาจช่วยให้คุณควบคุมอาการได้ดียิ่งขึ้นและลดความรุนแรงของโรคได้ ซึ่งทำให้สามารถจัดการกับปวดกล้ามเนื้อเรื้อรังให้เหมาะสม.

 

กายภาพบำบัด

การบำบัดทางกาย (Physical Therapy) เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการรักษาปวดกล้ามเนื้อเรื้อรังที่มีประสิทธิภาพ การบำบัดทางกายมุ่งเน้นการฝึกกายภาพและการออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและควบคุมการเคลื่อนไหวในร่างกาย นี่คือวิธีการบำบัดทางกายที่อาจช่วยลดอาการปวดและป้องกันสุขภาพของคนที่มีปัญหาเรื่องกล้ามเนื้อเรื้อรัง:

1.การประคบกล้ามเนื้อ: การบำบัดทางกายสามารถช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อโดยใช้การฝึกซ้อมเพื่อเพิ่มความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ

2.การฝึกปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอาหาร: นักบำบัดทางกายอาจให้คำแนะนำเกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอาหารและการออกกำลังกายในชีวิตประจำวัน เพื่อส่งเสริมสุขภาพของคนที่มีปัญหาเรื่องกล้ามเนื้อเรื้อรัง

3.การฝึกการควบคุมกล้ามเนื้อ: นักกายภาพบำบัดอาจช่วยในการฝึกควบคุมกล้ามเนื้อเพื่อควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกาย

4.การใช้เทคนิคการบำบัดทางกาย: นักบำบัดทางกายอาจใช้เทคนิคการบำบัดทางกายต่าง ๆ เช่นการนวด, การใช้เครื่องช่วยในการรักษา, และการนำเทคนิคการบำบัดทางกายในการรักษาอาการปวด

5.การออกกำลังกาย: การบำบัดทางกายอาจสร้างโปรแกรมออกกำลังกายที่เหมาะสมสำหรับคนที่มีปวดกล้ามเนื้อเรื้อรัง โดยออกกำลังกายเป็นระยะเวลาที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัย

การรักษาด้วยการบำบัดทางกายต้องปรับแต่งตามความต้องการและสภาพสุขภาพของแต่ละคน การปรึกษาแพทย์และนักบำบัดทางกายเป็นสิ่งสำคัญการทำกายภาพบำบัด ด้วยเครื่องมือทางกายภาพบำบัดไม่ว่าจะเป็น TECAR,Shockwave,High power laser, Ultrasound,PMS,Electrical Stimulation รวมถึง Manual technique ต่างๆ และคำแนะนำการปฏิบัติท่าทางที่เหมาะสม เพื่อบรรเทาอาการปวด รักษาอาการของโรค วินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสมสำหรับคุณ.

 

ติดต่อเรา

Tel:098 225 2255

Facebook:Bangkok pain clinic คลินิกกายภาพบำบัด

Gmail:bangkokpainclinic@gmail.com

Website:bangkokpainclinic.com

สาเหตุของการปวดเข่า (Knee pain)

ปวดเข่าเป็นอาการที่สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ดังนี้:

  1. อุบัติเหตุ: เป็นอีกสาเหตุที่ทำให้ข้อเข่าได้รับบาดเจ็บ เช่น การตกหรือกระแทกข้อเข่า, การเล่นกีฬาที่เกิดการกระแทก เป็นต้น
  2. ข้อเข่าเสื่อม (Osteoarthritis): เป็นโรคที่เกิดจากการสึกกร่อนของกล้ามเนื้อและกระดูกข้อเข่า ทำให้ข้อเข่าอ่อนแรงและปวด
  3. เข่าด้านในอักเสบ(Knee Bursitis): การอักเสบของถุงน้ำในข้อเข่าสามารถทำให้เกิดการปวดเข่า
  4. เอ็นหัวเข่าอักเสบ (Knee Tendonitis): การอักเสบของเส้นเอ็นที่เชื่อมต่อกล้ามเนื้อกับกระดูกข้อเข่า
  5. การบิดเข่าหรือเคล็ดเข่า (Knee Sprain): การบิดหรือการเคล็ดของข้อเข่าสามารถทำให้เกิดการบาดเจ็บและปวดเข่าได้
  6. เก๊าท์ (Gout):โรคเก๊าท์ (Gout) เป็นโรคที่เกิดขึ้นเมื่อมีการสะสมของกรดยูริกในร่างกาย โรคนี้มักเกิดขึ้นในข้อต่างๆ ของร่างกาย แต่มักพบมากที่สุดในข้อปลายเท้า (big toe) โดยส่วนใหญ่เกิดขึ้นที่ข้อเท้า
  7. การบาดเจ็บของเส้นเอ็นที่อยู่บริเวณต้นขาด้านนอกเชื่อมกล้ามเนื้อบริเวณด้านข้างและกล้ามเนื้อก้นด้านข้างยาวลงมาผ่านเข่า (Iliotibial Band Syndrome): การใช้งานมากของเส้นเอ็นอาจทำให้เกิดการอักเสบและปวดเข่า
  8. โรคอื่นๆ: การปวดเข่ายังสามารถเกิดขึ้นจากโรคอื่นๆ เช่น โรคข้อเข่าโดยเฉพาะ (Rheumatoid Arthritis), การติดเชื้อ, หรืออาการอื่นๆ ที่มีผลต่อข้อเข่า

การรักษาอาการปวดเข่าจะขึ้นอยู่กับสาเหตุของอาการ การปรึกษาแพทย์เป็นสิ่งสำคัญเพื่อวินิจฉัยและรับคำแนะนำเกี่ยวกับการรักษาที่เหมาะสม เช่น การพบแพทย์อาจแนะนำการฝึกหัดกล้ามเนื้อและกำจัดอาการอักเสบด้วยยาต้านอักเสบหรือรักษาแบบศัลยกรรมเมื่อจำเป็น

การรักษาปวดเข่าสามารถทำได้หลายวิธี เช่น

  1. กายภาพบำบัด: แพทย์หรือนักกายภาพบำบัดจะสามารถตรวจประเมินร่างกาย และให้การรักษาทางกายภาพบำบัด รวมถึงแนะนำการทำกิจกรรมที่เหมาะสมเพื่อป้องกันการปวดเข่าที่เพิ่มมากขึ้นและเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อข้อเข่าเพื่อลดแรงกระทำต่อข้อเข่าขณะทำกิจกรรม หรือกิจวัตรประจำวันได้
  2. การใช้ยา: การใช้ยาลดปวด เช่น ยาระงับปวด (pain relievers) หรือยาต้านอักเสบ (anti-inflammatory drugs) อาจช่วยลดอาการปวดเข่าและการอักเสบของข้อเข่า
  3. การสวมอุปกรณ์ช่วยพยุงข้อเข่า : การใช้เข่าเสริมหรืออุปกรณ์ช่วยพยุงอื่นๆ เช่น knee support สามารถช่วยลดแรงที่กระทำต่อข้อเข่าที่มากเกินไป ช่วยพยุงข้อเข่าไม่ให้มีการบาดเจ็บซ้ำในผู้ที่ได้รับการบาดเจ็บบริเวณข้อเข่า หรือช่วยกระชับข้อเข่า เพิ่มความมั่นคงให้กับข้อเข่า และบรรเทาอาการปวดได้
  4. การแก้ไขรูปแบบการเดิน: หากรูปแบบการเดินของคุณไม่ถูกต้อง กายภาพบำบัดอาจช่วยปรับปรุงรูปแบบการเดินเพื่อลดแรงที่กระทำต่อข้อเข่าได้
  5. การผ่าตัด: ในกรณีที่มีความเสี่ยงสูงหรืออาการรุนแรงมาก แพทย์อาจแนะนำการผ่าตัดข้อเข่าเพื่อซ่อมแซมหรือใส่อุปกรณ์เทียมแทนข้อเข่าที่เสื่อมสภาพ
  6. การบริหารสุขภาพรวม: การรักษาสุขภาพทั่วไป เช่น การควบคุมน้ำหนัก, การออกกำลังกายอย่างเหมาะสม, และการบริหารสตรีอย่างดี สามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดปัญหาข้อเข่าได้

การรักษาปวดเข่าขึ้นอยู่กับสาเหตุและระดับความรุนแรงของปัญหา ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและแผนการรักษาที่เหมาะสมสำหรับอาการปวดของแต่ละบุคคลและควรรักษาตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดเพื่อป้องกันอันตรายและฟื้นฟูสภาพข้อเข่าให้ดีขึ้นได้อย่างเหมาะสม

การทำกายภาพบำบัดถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ที่ไม่อยากผ่าตัด ด้วยเครื่องมือทางกายภาพบำบัดไม่ว่าจะเป็น TECAR,Shockwave,High power laser, Ultrasound,PMS,Electrical Stimulation รวมถึง Manual technique ต่างๆ และคำแนะนำการปฏิบัติท่าทางที่เหมาะสม เพื่อบรรเทาอาการปวด ป้องกันการบาดเจ็บของข้อเข่าที่อาจเพิ่มขึ้นจากการใช้ชีวิตประจำวัน และฟื้นฟูกล้ามเนื้อให้แข็งแรงมากขึ้น

ติดต่อเรา

Tel:098 225 2255

Facebook:Bangkok pain clinic คลินิกกายภาพบำบัด

Gmail:bangkokpainclinic@gmail.com

Website:bangkokpainclinic.com

 

อันตรายที่แฝงมากับรองเท้าส้นสูง

อันตรายที่แฝงมากับรองเท้าส้นสูง

ปัจจุบันแฟชั่นการแต่งตัวให้ดูดีเป็นสิ่งสำคัญ สาวๆในยุคสมัยนี้ให้ความสำคัญกับบุคลิกการแต่งตัวเป็นอันดับต้นๆ ก่อนออกจากบ้านต้องดูดี ซึ่งขาดไม่ได้เลยคือรองเท้าส้นสูงคู่ใจของใครหลายๆคน ที่จะเพิ่มความมั่นใจ รูปลักษณ์ให้ดูดีดูสง่า ซึ่งลืมไปว่าการสวมรองเท้าที่ดีและถูกต้องนั้นก็สำคัญเช่นกัน หากสวมรองเท้าส้นสูงทุกๆวันเป็นระยะเวลานานๆ อาจจะส่งผลกระทบต่อร่างกายของเราโดยที่ไม่รู้ตัว

 

ข้อเสีย

1.ปวดเท้า การสวมรองเท้าส้นสูงทำให้ทรงตัวลำบาก ลำตัวโน้มไปด้านหน้าส่งผลให้กระดูกเท้าต้องรับน้ำหนัก หากถูกบีบรัดจนเกินไปอาจส่งผลให้กระดูกและเส้นประสาทบริเวณฝ่าเท้าเกิดการอักเสบได้

2.ปวดน่องเอ็นร้อยหวายตึง ในการสวมใส่รองเท้าเหมือนเป็นการยืนเขย่าตลอดเวลาจึงส่งผลให้บริเวณที่เป็นเอ็นร้อยหวายนั้นตึง เป็นสาเหตุที่ทำให้ปวดน่อง หรือเป็นตะคริว

3.ปวดเข่า เสี่ยงเป็นโรคเข่าเสื่อมการเดินบนส้นสูงนั้นจะเกิดแรงกระแทกที่บริเวณข้อเข่า เข่าเป็นกระดูกข้อต่อที่ใหญ่ที่สุด ทำให้การรองรับความตึงเป็นระยะเวลานานนั้นอาจจะทำให้น้ำในไขข้อกระดูกลดลงจนเกิดเป็นรอยแตกทำให้ข้อเข่าเสื่อมและเสี่ยงต่อการเป็นโรคกระดุกพรุนได้

4.ปวดหลัง การใส่ส้นสูงทำให้ช่วงลำตัวแอ่นไปด้านหน้า ซึ่งกระดูกสันหลังจะคดเป็นรูปตัว S หากเป็นในระยะเวลานานๆ ก็จะมีปัญหาปวดหลังตามมา

5.อุบัติเหตุ การสวมรองเท้าส้นสุงนั้นมีโอกาสทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย เพราะต้องทรงตัวยืนบนรองเท้าที่มีความมั่นคงไม่แข็งแรง หากพื้นทางเดินขรุขระอาจะทำให้สะดุดหกล้มหรือข้อเท้าพลิกได้

6.โครงสร้างเท้าผิดรูป การใส่รองเท้าส้นสูงที่บีบรัดแน่นเท้า เช่น รองเท้าที่มีหัวแคบ เป็นสายรัดหน้าเท้าของเราหากใส่เป็นเวลานานๆ กระดูกนิ้วเท้าที่โดนบีบรัดเป็นเวลานานก็จะทำให้ผิดรูปได้

 

ทำความรู้จักกับOffice syndrome

Office Syndrome ส่งผลต่อร่างกายของคุณอย่างไร

ในโลกปัจจุบันที่หมุนไปอย่างรวดเร็ว การนั่งที่โต๊ะเป็นเวลานานๆ กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเราอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าคุณจะเป็นนักเรียน มืออาชีพ หรือฟรีแลนซ์ การใช้เวลาหลายชั่วโมงอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์กลายเป็นเรื่องปกติ

มารู้จักโรคยอดฮิต ออฟฟิศซินโดรม

ออฟฟิศซินโดรม (Office Syndrome) คือ กลุ่มอาการปวดกล้ามเนื้อและเยื่อพังผืด (Myofascial Pain Syndrome) เนื่องมาจากรูปแบบการทำงานที่ใช้กล้ามเนื้อมัดเดิมซ้ำๆ เป็นระยะเวลานานต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลให้เกิดอาการกล้ามเนื้ออักเสบและปวดเมื่อยตามอวัยวะต่างๆ โดยเฉพาะบริเวณ คอ หลัง ไหล่ บ่า แขน หรือข้อมือ ซึ่งอาการปวดดังกล่าวอาจลุกลามจนกลายเป็นอาการปวดเรื้อรัง

 

ออฟฟิศซินโดรมเกิดได้อย่างไร

โดยมีสาเหตุและปัจจัยที่ทำให้มีโอกาสเกิดกลุ่มอาการดังกล่าว ได้แก่

  • ท่าทางการทำงาน (Poster) เช่น ลักษณะท่านั่งทำงาน การวางมือ ศอก บนโต๊ะทำงานที่ไม่ถูกต้อง
  • การบาดเจ็บจากงานซ้ำ ๆ (Cumulative Trauma Disorders) หรือระยะเวลาในการทำงานที่มากเกินไป ทำให้ร่างกายเกิดการล้า เช่น การใช้ข้อมือซ้ำ ๆ ในการใช้เมาส์ อาจทำให้เกิดการอักเสบของเอ็นบริเวณข้อมือ หรือพังผืดเส้นประสาทบริเวณข้อมือได้
  • สิ่งแวดล้อมในการทำงานที่ไม่เหมาะสม เช่น ลักษณะโต๊ะทำงาน หน้าจอคอมพิวเตอร์ แสงสว่างในห้องทำงาน

 

เช็คอาการออฟฟิศซินโดรม

-ปวดกล้ามเนื้อเฉพาะส่วนใดส่วนหนึ่ง มักมีอาการปวดแบบกว้างๆ ๆไม่สามารถชี้จุดหรือระบุตำแหน่งที่ปวดได้อย่างชัดเจน เช่น คอ บ่า ไหล่ สะบัก

-ปวดศีรษะเรื้อรัง หรือในบางครั้งมีอาการปวดหัวไมเกรนร่วมด้วย ซึ่งมีสาเหตุมาจากความเครียดหรือการที่ใช้สายตาเป็นระยะเวลานาน

-ปวดหลังเรื้อรัง เป็นอาการที่พบบ่อยในผู้ป่วยโรคออฟฟิศซินโดรม เนื่องจากการนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์หลายชั่วโมง นั่งไม่ถูกท่า นั่งหลังค้อม อาจทำให้กล้ามเนื้อต้นคอ เมื่อย เกร็งอยู่ตลอด รวมถึงงานที่ต้องยืนนานๆ โดยเฉพาะคุณผู้หญิงที่ใส่ส้นสูง

-ปวดตึงที่ขา หรือเหน็บชา อาการชาเกิดจากการนั่งนานๆ ทำให้เส้นเลือดดำถูกกดทับและส่งผลให้เลือดไหลเวียนผิดปกติ

-ปวดตา ตาพร่า เนื่องจากต้องมีการมองหน้าจอคอมพิวเตอร์นานๆ หรือใช้สายตาอย่างหนักเป็นเวลานาน

-มือชา นิ้วล็อค ปวดข้อมือ เพราะการใช้คอมพิวเตอร์จับเมาส์ในท่าเดิมๆ นาน ทำให้กล้ามเนื้อกดทับเส้นประสาทและเส้นเอ็นจนอักเสบ เกิดพังผืดทำให้ปวดปลายประสาท นิ้วหรือข้อมือล็อคได้

การรักษาออฟฟิศซินโดรม

การรักษาโรคออฟฟิศซินโดรมมีด้วยกันหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการรักษาด้วยยา การปรับสภาพแวดล้อมในการทำงาน การออกกำลังกายเพื่อรักษาอาการปวด การทำกายภาพบำบัดด้วยเครื่องมือกายภาพบำบัด

กายภาพบำบัดช่วยได้อย่างไร

 

อย่างไรก็ตาม การใช้ชีวิตอยู่ประจำนี้อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพร่างกายและจิตใจของเราได้ ออฟฟิศซินโดรม หรือที่รู้จักในชื่อคอมพิวเตอร์ซินโดรม เป็นภาวะที่ส่งผลต่อผู้ที่นั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพต่างๆ เช่น ปวดคอ ปวดหลัง ปวดศีรษะ และอื่นๆ โชคดีที่การทำกายภาพบำบัดสามารถช่วยบรรเทาอาการออฟฟิศซินโดรมและทำให้คุณภาพชีวิตโดยรวมของคุณดีขึ้นได้ ในบทความนี้ เราจะพูดถึงว่าออฟฟิศซินโดรมส่งผลต่อร่างกายของคุณอย่างไร และกายภาพบำบัดสามารถช่วยให้คุณเอาชนะอาการนี้ได้อย่างไร ดังนั้น นั่งลงและอ่านต่อเพื่อค้นพบวิธีที่คุณสามารถรักษาสุขภาพให้แข็งแรงและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพแม้จะใช้เวลาอยู่ที่โต๊ะทำงานเป็นเวลานาน

 

 

วิธีบรรเทาอาการกล้ามเนื้ออักเสบตามธรรมชาติ: เคล็ดลับและคำแนะนำเพื่อการบรรเทาอาการอย่างรวดเร็ว

กล้ามเนื้ออักเสบเป็นปัญหาทั่วไปที่ส่งผลต่อคนทุกวัยและทุกระดับความฟิต ไม่ว่าคุณจะเป็นนักกีฬาหรือเพียงแค่คนที่ใช้เวลาส่วนใหญ่นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน การอักเสบของกล้ามเนื้ออาจเป็นภาวะที่เจ็บปวดและน่าหงุดหงิดที่อาจรบกวนชีวิตประจำวันของคุณ โชคดีที่มีวิธีการรักษาตามธรรมชาติมากมายที่สามารถช่วยบรรเทาอาการอักเสบของกล้ามเนื้อและบรรเทาได้อย่างรวดเร็ว ตั้งแต่การรวมอาหารต้านการอักเสบเข้ากับอาหารของคุณไปจนถึงการฝึกโยคะและการทำสมาธิ มีวิธีง่ายๆ และมีประสิทธิภาพมากมายในการลดการอักเสบและส่งเสริมการรักษา ในบทความนี้ เราจะสำรวจเคล็ดลับและกลเม็ดยอดนิยมบางประการในการบรรเทาอาการอักเสบของกล้ามเนื้อตามธรรมชาติ เพื่อให้คุณกลับมารู้สึกดีที่สุดได้อีกครั้ง ดังนั้น ไม่ว่าคุณกำลังเผชิญกับอาการเจ็บกล้ามเนื้อจากการออกกำลังกายอย่างหนักหรืออาการอักเสบเรื้อรังเนื่องจากสภาวะทางการแพทย์ โปรดอ่านต่อเพื่อค้นพบกลยุทธ์ที่เป็นประโยชน์ในการบรรเทาอย่างรวดเร็ว


ทำความเข้าใจเกี่ยวกับการอักเสบของกล้ามเนื้อ

กล้ามเนื้ออักเสบหรือที่เรียกว่า myositis เป็นภาวะที่มีอาการอักเสบและปวดในกล้ามเนื้อ อาจเกิดจากหลายปัจจัย รวมถึงการบาดเจ็บ การใช้งานมากเกินไป การติดเชื้อ หรือความผิดปกติของภูมิต้านทานตนเอง เช่น โรคลูปัสหรือโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ เมื่อกล้ามเนื้ออักเสบ พวกเขาอาจรู้สึกอ่อน บวม และแข็ง ในบางกรณี กล้ามเนื้ออักเสบอาจทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงและเคลื่อนไหวลำบาก

 

การอักเสบของกล้ามเนื้ออาจเกิดจากหลายปัจจัย ได้แก่:

#บาดเจ็บ
การบาดเจ็บ เช่น ความเครียด การเคล็ดขัดยอก อาจทำให้กล้ามเนื้ออักเสบได้ เมื่อกล้ามเนื้อได้รับความเสียหาย ร่างกายจะตอบสนองด้วยการส่งเซลล์ภูมิคุ้มกันไปยังบริเวณนั้นเพื่อส่งเสริมการรักษา การตอบสนองทางภูมิคุ้มกันนี้อาจทำให้เกิดการอักเสบและความเจ็บปวดได้
#ใช้มากเกินไป
การใช้กล้ามเนื้อมากเกินไปอาจทำให้เกิดการอักเสบได้ เป็นเรื่องปกติในนักกีฬาที่ทำการเคลื่อนไหวซ้ำๆ เช่น นักวิ่งหรือนักว่ายน้ำ การใช้งานมากเกินไปอาจเกิดขึ้นได้ในผู้ที่ทำงานด้วยตนเองหรือใช้เวลานานที่โต๊ะทำงาน
##การติดเชื้อ
การติดเชื้อ เช่น ไข้หวัดหรือโรคไวรัสอาจทำให้กล้ามเนื้ออักเสบเนื่องจากร่างกายต่อสู้กับการติดเชื้อ สิ่งนี้เรียกว่า myositis จากไวรัส
##โรคภูมิต้านตนเอง
ความผิดปกติของภูมิต้านทานผิดปกติ เช่น โรคลูปัสหรือโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์สามารถทำให้เกิดการอักเสบของกล้ามเนื้อ เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายโจมตีเนื้อเยื่อของตัวเอง

อาการของกล้ามเนื้ออักเสบ

อาการของกล้ามเนื้ออักเสบอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับความรุนแรงและสาเหตุของการอักเสบ อาการทั่วไป ได้แก่:
- ปวดหรือกดเจ็บบริเวณกล้ามเนื้อที่ได้รับผลกระทบ
- บวมหรือแข็งในบริเวณที่ได้รับผลกระทบ
- กล้ามเนื้ออ่อนแรงหรือเคลื่อนไหวลำบาก
- ความเมื่อยล้าหรือวิงเวียน
หากคุณกำลังประสบกับอาการเหล่านี้ สิ่งสำคัญคือต้องไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุของการอักเสบของกล้ามเนื้อและพัฒนาแผนการรักษาที่เหมาะสม ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจะโจมตีเนื้อเยื่อของตัวเอง

การเยียวยาธรรมชาติสำหรับการอักเสบของกล้ามเนื้อ

โชคดีที่มีวิธีการรักษาตามธรรมชาติมากมายที่สามารถช่วยบรรเทาอาการอักเสบของกล้ามเนื้อและบรรเทาได้อย่างรวดเร็ว

#อาหารเสริมลดการอักเสบของกล้ามเนื้อ
อาหารเสริม เช่น กรดไขมันโอเมก้า 3 เคอร์คูมิน และขิง สามารถช่วยลดการอักเสบในร่างกายได้ กรดไขมันโอเมก้า 3 ที่พบในน้ำมันปลาและน้ำมันเมล็ดแฟลกซ์สามารถช่วยลดการอักเสบและอาการปวดข้อได้ เคอร์คูมินที่พบในขมิ้นมีคุณสมบัติต้านการอักเสบที่มีประสิทธิภาพ มีการแสดงขิงเพื่อลดอาการปวดกล้ามเนื้อและปวดเมื่อย

#อาหารที่ควรกินเพื่อลดการอักเสบ
การรวมอาหารต้านการอักเสบไว้ในอาหารของคุณสามารถช่วยลดการอักเสบของกล้ามเนื้อได้ อาหารเช่น ปลาที่มีไขมัน ผักใบเขียว เบอร์รี่ และถั่ว ล้วนอุดมไปด้วยสารต้านการอักเสบ การหลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป น้ำตาล และไขมันทรานส์สามารถช่วยลดการอักเสบในร่างกายได้

#การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตเพื่อลดการอักเสบ
การปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิต เช่น ลดความเครียด นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอสามารถช่วยลดการอักเสบในร่างกายได้ ความเครียดและการอดนอนอาจทำให้เกิดการอักเสบได้ ในขณะที่การออกกำลังกายสามารถช่วยลดการอักเสบและส่งเสริมการรักษา

#น้ำมันหอมระเหยสำหรับบรรเทาอาการอักเสบของกล้ามเนื้อ
น้ำมันหอมระเหย เช่น เปปเปอร์มินต์ ลาเวนเดอร์ และยูคาลิปตัสสามารถช่วยบรรเทาอาการอักเสบและปวดของกล้ามเนื้อได้ น้ำมันเปปเปอร์มินต์มีคุณสมบัติระบายความร้อนที่สามารถช่วยลดอาการปวดกล้ามเนื้อและปวดเมื่อยได้ น้ำมันลาเวนเดอร์มีคุณสมบัติต้านการอักเสบและช่วยลดการอักเสบในร่างกายได้ น้ำมันยูคาลิปตัสมีคุณสมบัติเป็นยาแก้ปวดและช่วยบรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อได้

#การออกกำลังกายเพื่อบรรเทาอาการอักเสบของกล้ามเนื้อ
การออกกำลังกายเบาๆ เช่น โยคะ การยืดกล้ามเนื้อ และโฟมโรลลิ่ง สามารถช่วยบรรเทาอาการอักเสบและปวดของกล้ามเนื้อได้ โยคะสามารถช่วยลดการอักเสบในร่างกายและส่งเสริมการผ่อนคลาย การยืดกล้ามเนื้อสามารถช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและลดความตึงของกล้ามเนื้อได้ โฟมโรลลิ่งสามารถช่วยลดอาการปวดและอักเสบของกล้ามเนื้อได้

การอักเสบของกล้ามเนื้ออาจเป็นอาการที่เจ็บปวดและน่าหงุดหงิด แต่มีวิธีรักษาตามธรรมชาติหลายอย่างที่สามารถช่วยบรรเทาอาการอักเสบและบรรเทาอาการได้อย่างรวดเร็ว ตั้งแต่การรวมอาหารต้านการอักเสบเข้ากับอาหารของคุณไปจนถึงการฝึกโยคะและการทำสมาธิ มีวิธีง่ายๆ และมีประสิทธิภาพมากมายในการลดการอักเสบและส่งเสริมการรักษา การให้การรักษาตามธรรมชาติเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของกิจวัตรประจำวันของคุณ คุณจะสามารถบรรเทาอาการอักเสบของกล้ามเนื้อและกลับมารู้สึกดีที่สุดได้


แนวทางกายภาพบำบัดทั่วไปเพื่อลดการอักเสบของกล้ามเนื้อ

การทำกายภาพบำบัดเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการลดการอักเสบของกล้ามเนื้อและปรับปรุงการเคลื่อนไหวโดยรวม ต่อไปนี้เป็นวิธีกายภาพบำบัดที่ใช้กันทั่วไปเพื่อลดการอักเสบของกล้ามเนื้อ:
#เทคนิคการเผยแพร่ที่ใช้งานอยู่ (ART)
Active Release Technique (ART) เป็นการบำบัดด้วยมือประเภทหนึ่งที่ใช้รักษาอาการบาดเจ็บของเนื้อเยื่ออ่อนและลดการอักเสบของกล้ามเนื้อ ระหว่างการทำ ART นักกายภาพบำบัดจะใช้มือกดบริเวณที่มีอาการ ขณะที่ผู้ป่วยทำการเคลื่อนไหวเฉพาะจุด วิธีนี้จะช่วยสลายเนื้อเยื่อแผลเป็นและการยึดเกาะ ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการปวดและอักเสบได้
#เครื่องมือช่วยการเคลื่อนย้ายเนื้อเยื่ออ่อน (IASTM)
เครื่องมือช่วยการเคลื่อนตัวของเนื้อเยื่ออ่อน (IASTM) เป็นเทคนิคที่ใช้เครื่องมือพิเศษในการนวดและยืดกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อ เครื่องมือนี้ออกแบบมาเพื่อใช้แรงกดบนพื้นที่เฉพาะ ช่วยสลายเนื้อเยื่อแผลเป็นและการยึดเกาะ เทคนิคนี้ได้ผลอย่างยิ่งในการรักษาอาการอักเสบและอาการปวดเรื้อรัง
#การบำบัดด้วยตนเอง
การบำบัดด้วยตนเองเป็นการบำบัดทางกายภาพประเภทหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับเทคนิคการปฏิบัติจริงเพื่อลดการอักเสบของกล้ามเนื้อและปรับปรุงการเคลื่อนไหว ซึ่งอาจรวมถึงเทคนิคต่างๆ เช่น การนวด การเคลื่อนข้อต่อ และการยืดกล้ามเนื้อ การบำบัดด้วยมือจะมีประสิทธิภาพโดยเฉพาะอย่างยิ่งในการรักษาอาการอักเสบและความเจ็บปวดที่เกิดจากการบาดเจ็บมากเกินไป
#การออกกำลังกายยืดและเสริมสร้างความเข้มแข็ง
การออกกำลังกายยืดและเสริมสร้างความแข็งแรงเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการลดการอักเสบของกล้ามเนื้อและปรับปรุงการเคลื่อนไหวโดยรวม นักกายภาพบำบัดสามารถสร้างโปรแกรมการออกกำลังกายแบบกำหนดเองโดยกำหนดเป้าหมายไปที่กล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อเฉพาะที่ก่อให้เกิดความเจ็บปวดและการอักเสบ การยืดกล้ามเนื้อสามารถช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและลดความตึงของกล้ามเนื้อ ในขณะที่การออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงสามารถช่วยสร้างกล้ามเนื้อและปรับปรุงการทำงานโดยรวม
#การบำบัดด้วยความเย็นและความร้อน
การบำบัดด้วยความเย็นและความร้อนเป็นสองเทคนิคที่สามารถใช้เพื่อลดการอักเสบและความเจ็บปวดของกล้ามเนื้อ การบำบัดด้วยความเย็นเกี่ยวข้องกับการใช้ความเย็นเพื่อลดการอักเสบ ในขณะที่การบำบัดด้วยความร้อนเกี่ยวข้องกับการใช้ความร้อนเพื่อเพิ่มการไหลเวียนของเลือดและลดความเจ็บปวด เทคนิคทั้งสองสามารถมีประสิทธิภาพในการลดการอักเสบและปรับปรุงการเคลื่อนไหว
#โภชนาการกับการอักเสบของกล้ามเนื้อ
โภชนาการยังสามารถมีบทบาทในการลดการอักเสบของกล้ามเนื้อ อาหารที่อุดมด้วยอาหารต้านการอักเสบ เช่น ผลไม้ ผัก และเมล็ดธัญพืช สามารถช่วยลดการอักเสบและทำให้สุขภาพโดยรวมดีขึ้นได้ ในทางกลับกัน การรับประทานอาหารแปรรูปและน้ำตาลสูงอาจทำให้เกิดอาการอักเสบและปวดเรื้อรังได้

ท่าบริหาร อาการปวดหลังส่วนล่าง

อาการปวดหลังส่วนล่าง

การปวดหลังส่วนล่างเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ รวมถึงการบาดเจ็บหรือการอักเสบของกล้ามเนื้อหรือเส้นประสาทบริเวณหลังส่วนล่าง นอกจากนี้ อาการปวดหลังส่วนล่างยังเกิดจากปัจจัยต่างๆ เช่นการนั่งทำงานนานเกินไป การยืนหรือเดินเป็นเวลานาน ออกกำลังการผิดวิธี การเคลื่อนหรือทำกิจกรรมในท่าที่ไม่ถูกต้อง


ท่าบริหาร แก้อาการปวดหลัง

ท่าที่ 1 ท่าแมวและวัว (Cat and cow) : ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหลังและหน้าท้อง

ท่าเริ่มต้น

  • อยู่ในท่าตั้งคลาน วางเข่าอยู่ระดับสะโพกและมือที่ระดับไหล่
  • จัดแนวกระดูกสันหลัง กระดูกคอ อกและเอวให้อยู่ระดับเดียวกัน

ท่าแมว (Cat Pose) ทำขณะหายใจออก

  • โก่งหลังขึ้นหาเพดาน
  • ปล่อยศีรษะตกสบายๆ
  • ขมิบก้น กดเข่าลงพื้น
  • ขณะหายใจออก นับ1-3ช้าๆแล้วจึงเปลี่ยนเป็นท่าวัว

ท่าวัว (Cow Pose) ทำขณะหายใจเข้า

  • แอ่นหลังและหย่อนหน้าท้องลงหาพื้น
  • เงยหน้ามองเพดานหรือมองไปด้านหน้า

ทำท่าแมวและวัวสลับกันช้าๆ นับเป็น 1 รอบ ทำ 10 รอบต่อวัน

ท่าที่ 2 ท่าเกร็งกดหลังและหน้าท้องลง (Pelvic tilt) : นอกจากช่วยเสริมสร้างความแข็งแรง ทั้งหลัง ก้นและหน้าท้องแล้ว ยังช่วยเพิ่มแรงดันในช่องท้องประคองไม่ให้แรงมากระทำกับกระดูกสันหลังมากเกินไป

  • นอนหงาย ชันเข่าทั้งสองข้าง
  • เกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้องและสะโพกโดยการขมิบก้น แขม่วท้อง กดหลังติดพื้น
  • เกร็งค้างไว้นับ 1-5 ช้าๆ แล้วปล่อย ไม่ควรกลั้นหายใจขณะเกร็ง
  • นับ 1-5 ถือเป็น 1 รอบ ทำ 10 รอบ/เซต (เช้า-เย็น)

ท่าที่ 3 ท่านอนบิดสะโพก (Trunk rotation) : เพิ่มความยืดหยุ่นให้กับกล้ามเนื้อและข้อต่อบริเวณสะโพก

  • นอนหงาย ชันเข่าทั้งสองข้าง
  • บิดเข่าทั้งสองข้างไปด้านใดด้านหนึ่งจนรู้สึกตึงบริเวณหลัง
  • ค้างไว้ 5 วินาที โดยไม่กลั้นหายใจ เพื่อเป็นการยืดหลัง
  • ทำ 10 ครั้ง/เซต ทั้งหมด 10 เซต/วัน

*ข้อควรระวัง : ผู้ป่วยที่มีภาวะกระดูกสันหลังไม่คงที่และผู้ป่วยที่มีอาการชา หรือปวดร้าวลงขา ควรหยุดทันที

ท่าที่ 4 ท่าดึงเข่าชิดอก (Single knee to chest) : บริเวณหลังส่วนล่างจะถูกยืดเหยียด และลดความตึงตัวของกล้ามเนื้อ

  • นอนราบบนพื้น งอเข่าหนึ่งข้างเข้าหาลำตัว
  • ประสานนิ้วมือทั้งสองข้างช้อนใต้เข่า
  • ดึงเข่าเข้าหาหน้าอกให้มากที่สุด จนรู้สึกตึงกล้ามเนื้อหลังส่วนล่างและไม่เจ็บ
  • ทำค้างไว้ข้างละ 20 วินาที แล้วค่อยๆผ่อนลงไปท่านอนราบเหมือนเดิม
  • ทำด้านขวาสลับด้านซ้ายถือเป็น 1 รอบ ทำ 10 รอบ/เซต (เช้า-เย็น)

ท่าที่ 5 ออกกำลังกายหน้าท้อง (Abdominal curl) : การที่กล้ามเนื้อหน้าท้องแข็งแรงส่งผลให้กล้ามเนื้อหน้าท้องส่วนลึกช่วยประคองให้กระดูกสันหลังมีความมั่นคงมากขึ้น แล้วทำให้ปวดหลังน้อยลง

  • นอนราบ ชันเข่าขึ้นทั้งสองข้าง
  • แขนสองข้างเหยียดตรงข้างลำตัว
  • ยกศีรษะและไหล่ขึ้นเหนือพื้นหรือเตียง
  • นับ 1-10 ค้างไว้ช้าๆ แล้วค่อยๆผ่อนลง ถือเป็น 1 รอบ
  • ค้าง 10 วินาที/รอบ ทำ 10 รอบ/เซต (เช้า-เย็น)

 

 

อาการปวดหลังส่วนล่างในผู้หญิงเกิดจากอะไรได้บ้าง

 

อาการปวดหลังส่วนล่างเป็นอาการที่พบได้บ่อยในผู้หญิงและสาเหตุของอาการนี้อาจเกิดจากหลายปัจจัย เช่น ท่าทางไม่ถูกต้อง, การเคลื่อนไหวผิดปกติ, การบาดเจ็บหรือโรคทางการแพทย์ และบางปัจจัยที่อาจส่งผลต่ออาการปวดหลังส่วนล่างในผู้หญิงได้ สาเหตุที่พบบ่อย มีดังนี้

1.การตั้งครรภ์: การถ่วงของครรภ์ที่อยู่ด้านหน้าเพิ่มขึ้น ส่งผลให้กระดูกสันหลังแอ่นเป็นเวลานาน และการแบกรับน้ำหนักตัวที่เพิ่มมากขึ้นซึ่งจะทำให้เกิดอาการปวด นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนระหว่างการตั้งครรภ์ โดยเฉพาะฮอร์โมนรีแลกซิน (Relaxin) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่สร้างมาจากรังไข่ขณะตั้งครรภ์ เพื่อช่วยกระตุ้นการคลายตัวเอ็นยึดกระดูกเชิงกรานให้คลอดง่ายขึ้น ซึ่งบางครั้งส่งผลให้มีอาการปวดหลังได้ รวมถึงเมื่ออายุครรภ์ 5 เดือนเป็นต้นไป ทารกจะดึงแคลเซียมจากกระแสเลือดคุณแม่ไปใช้ในการสร้างกระดูกและฟัน เป็นเหตุให้เกิดการกร่อนของกระดูก นำมาซึ่งอาการปวดหลังในที่สุด

2.รอบเดือน: เมื่อฮอร์โมนเอสโทรเจน(Estrogen)และโพรเจสเทอโรน (Progesterone) ลดระดับลงแล้ว มดลูกจะเริ่มหดตัวเพื่อขับเยื่อบุโพรงมดลูกออกมาเป็นเลือดประจำเดือน ซึ่งในผู้หญิงบางคน มดลูกอาจจะหดตัวเยอะมากจนไปกดเส้นเลือดในบริเวณใกล้เคียง ทำให้ออกซิเจนไม่สามารถไปหล่อเลี้ยงกล้ามเนื้อในบริเวณดังกล่าวได้มากเท่าที่ควร จึงส่งผลให้เกิดอาการปวดบริเวณท้องน้อย และลามมาถึงบริเวณหลังช่วงล่างได้

3.โรคกระดูกพรุน (Osteoporosis): มักพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย เนื่องจากฮอร์โมน เพศหญิงจะเห็นได้ชัดเจนในช่วง 5 ปีแรกของการหมดประจำเดือน ซึ่งในช่วงนั้นผู้หญิงจะมีการสูญเสียเนื้อกระดูกอย่างรวดเร็ว (3-5 เปอร์เซ็นต์ต่อปี เป็นเวลา 5 ปี ) หรือสูงถึง 15-25 เปอร์เซ็นต์ของกระดูกในร่างกาย การสูญเสียมวลกระดูก ทำให้กระดูกเสียคุณสมบัติการรับน้ำหนัก กระดูกเปราะ หักง่าย ส่งผลต่ออาการปวดหลังได้

4.Arthritis: การอักเสบของข้อต่อในกระดูกสันหลังสามารถก่อให้เกิดอาการปวดหลังส่วนล่างได้ พบบ่อยในผู้หญิงที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้น

5.การเคลื่อนไหวผิดวิธีหรือได้รับบาดเจ็บกล้ามเนื้อ: สาเหตุนี้สามารถเกิดจากการยกของหนักๆ หรือการงอตัวหรือหมุนตัวผิดวิธี รวมถึงท่าทางในการนั่งทำงานที่ไม่เหมาะสม ซึ่งอาจทำให้ปวดหลังส่วนล่างได้

6.ปัญหาโครงสร้างของกระดูกสันหลัง: ผู้หญิงที่มีโรคกระดูกสันหลังคด (scoliosis), โรคโพรงกระดูกสันหลังตีบแคบ (spinal stenosis) หรือปัญหาโครงสร้างอื่นๆ ในกระดูกสันหลังอาจมีโอกาสเกิดอาการปวดหลังส่วนล่างได้มากขึ้น

7.Disc herniation: สาเหตุอาจเกิดจากการยกของหนักในท่าที่ผิด ทำให้หมอนรองกระดูกสันหลังเกิดการปลิ้นหรือในแตก อาจส่งผลให้มีการกดทับเส้นประสาทบริเวณข้างเคียง เกิดอาการปวดหลังส่วนล่างหรือบางรายอาจมรอาการปวดร้าวลงขาร่วมด้วย

8.โรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (Endometriosis): โดยอาจแทรกตัวอยู่ในผนังหรือกล้ามเนื้อมดลูก หรืออาจเล็ดลอดเข้าไปในช่องท้องจนไปเจริญเติบโตอยู่ตามอวัยวะต่างๆในอุ้งชิงกราน เช่น เยื่อบุช่องท้อง รังไข่ ผนังลำไส้ และผนังกระเพาะปัสสาวะ เยื่อบุโพรงมดลูกที่เจริญผิดที่นี้ ถือเป็นปฏิกิริยาการอักเสบที่ขึ้นกับฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen-dependent, benign, inflammatory disease) เมื่อไปเจริญเติบโตอยู่ผิดที่ก็จะยังคงทำหน้าที่เช่นเดิม คือ สร้างประจำเดือน จึงทำให้มีเลือดสีแดงคล้ำหรือสีดำข้นคล้ายช็อกโกแลตขังอยู่ตามอวัยวะต่างๆ ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของอาการผิดปกติต่างๆที่พบได้ในผู้ป่วยโรคนี้ เช่น ปวดท้องลามไปถึงหลังส่วนล่าง ปวดประจำเดือน ปวดท้องน้อยเรื้อรัง และมีบุตรยาก

9.Fibromyalgia: เป็นกลุ่มอาการปวดเรื้อรัง โดยอาการปวดมักจะกระจายหลายจุดตามร่างกาย โดยเฉพาะที่เป็นตำเหน่ง ของกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น และเนื้อเยื่ออ่อนของร่างกาย บริเวณที่พบว่ามีอาการบ่อยคือ ศีรษะ คอ บ่า และหลัง บางรายปวดทั้งตัว นอกจากอาการปวดยังอาจมีอาการร่วมอื่นๆได้หลายอาการ ได้แก่ อาการอ่อนเพลีย นอนหลับไม่ สนิท สมาธิและความจำถดถอย รวมถึงความเครียดและอารมณ์ซึมเศร้า พบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย 8 เท่า พบมากในวัยกลางคนอายุระหว่าง 35-60 ปี

10.โรคนิ่วในไต (Kidney Stone):เกิดจากการตกตะกอนของสารในปัสสาวะ ในภาวะปติสารเหล่านี้จะละลายไม่จับตัวกันเป็นนิ่ว แต่ในผู้ที่เป็นโรคนิ่วจะมีภาวะที่ทำให้สารละลายต่างๆเกิดการตกตะกอนได้ง่ายกว่าปกติจนจับตัวเป็นก้อน หากเป็นนิ่วที่มีขนาดใหญ่ อาจทำให้เกิดอาการปวดหลัง ปวดเอวเรื้อรัง มีการติดเชื้อในระบบปัสสาวะ และทำทำไตสูญเสียการทำงานจนเกิดภาวะไตวายได้

11.Cystic ovary: ซีสต์มีลักษณะเป็นถุงที่เต็มไปด้วยของเหลว ซึ่งสามารถก่อตัวขึ้นได้ในรังไข่ เมื่อเกิดการตกไข่ผิดปกติจะทำให้เกิดการคั่ง มีถุงน้ำในรังไข่ หรือไข่ไม่ตก ทำให้เกิดเป็นถุงน้ำขนาดเล็กในรังไข่ทั้งสองข้าง มักพบอาการปวดท้อง ปวดปัสสาวะบ่อยหรือปัสสาวะลำบาก เจ็บหรือปวดหลังส่วนล่าง ปวดประจำเดือนมากหรือมีเลือดออกผิดปกติ

  1. ภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบ (Pelvic inflammatory disease :PID) หมายถึง ภาวะที่มีการติดเชื้อในระบบสืบพันธุ์เพศหญิงส่วนบน ได้แก่ มดลูก (endometritis) ท่อนำไข่ (salpingitis) รังไข่ (oophoritis) และเยื่อบุช่องท้องในอุ้งเชิงกราน (pelvic peritonitis) อาจก่อให้เกิดอาการปวดหลังล่าง รวมถึงอาการอื่นๆ เช่น ปวดท้องและไข้ โดยส่วนต่างๆของระบบสืบพันธุ์ของผู้หญิง อาจเกิดการติดเชื้อ จากเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส หรือจากเชื้อราและ อย่างไรก็ตาม หากมีอาการปวดหลังล่างหรืออาการอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับระบบสืบพันธุ์ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อการวินิจฉัยและการรักษาเพิ่มเติม

13.มะเร็ง: ในกรณีที่หากพบว่ามีอาการปวดหลังส่วนล่างอย่างรุนแรงและไม่สามารถอธิบายได้ว่ามาจากสาเหตุใด น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ อาจจะเกิดจากมะเร็งที่กระจายไปยังกระดูกสันหลังหรือเนื้อเยื่อใกล้เคียงได้

14.ภาวะน้ำหนักเกิน (Obesity): ในผู้ที่มีภาวะน้ำหนักเกินมาตรฐานส่งผลให้กระดูกสันหลังรับน้ำหนักมากกว่าคนปกติ โดยเฉพาะผู้ที่มีภาวะอ้วนลงพุง น้ำหนักที่มากขึ้นบวกกับพุงที่ยื่นมาด้านหน้า ทำให้กล้ามเนื้อหลังออกแรงดึงมากขึ้น หลังแอ่นมาก และหากต้องดึงเป็นเวลานานๆ จะส่งผลให้หมอนรองกระดูกรับน้ำหนักไม่สมดุลกัน อาจเคลื่อนหรือปลิ้นทับเส้นประสาท ส่งผลให้เกิดหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท กระดูกสันหลังเสื่อมเร็ว ปวดหลังเรื้อรังร้าวลงไปขา บางครั้งอาจมีการอ่อนแรงร่วมด้วย

15.ปัจจัยทางจิตวิทยา: ความเครียด ความวิตกกังวล และภาวะซึมเศร้า สามารถทำให้เกิดอาการปวดหลังส่วนล่างได้ในผู้หญิงเมื่อความเครียด กล้ามเนื้อเกร็งตัวโดยที่เราไม่รู้ตัวและความกังวลจะกระตุ้นให้ร่างกายเกิดความเครียด ร่างกายจึงหลั่งสารเคมีแห่งความเครียดออกไปสู่กล้ามเนื้อ เมื่อเกิดการสะสมากๆ ก็จะเกิดอาการปวดตามมาได้ เช่น ปวดหลัง, ไหล่และคอ เป็นต้น

 

วิธีการรักษาอาการปวดหลังล่างในผู้หญิงจะขึ้นอยู่กับสาเหตุของโรค และอาจรวมถึงการใช้ยารักษาอาการปวด กายภาพบำบัด การออกกำลังกาย และการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม เช่น การลดน้ำหนักและเลิกสูบบุหรี่ ในบางกรณีอาจจำเป็นต้องผ่าตัด เช่น ในกรณีของการทำลายเส้นประสาทสันหลังหรือกระดูกสันหลังแตกอย่างรุนแรง จึงจำเป็นต้องปรึกษาแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับอาการและความกังวลที่อาจมีเสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการปวดหลังส่วนล่างได้

 

 

 

 

5 ท่าบริหาร แก้อาการปวดหลังส่วนล่าง

ท่าบริหาร แก้อาการปวดหลัง

อาการปวดหลังส่วนล่างเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ รวมถึงการบาดเจ็บหรือการอักเสบของกล้ามเนื้อหรือเส้นประสาทบริเวณหลังส่วนล่าง นอกจากนี้ อาการปวดหลังส่วนล่างยังเกิดจากปัจจัยต่างๆ เช่นการนั่งทำงานนานเกินไป การยืนหรือเดินเป็นเวลานาน ออกกำลังการผิดวิธี การเคลื่อนหรือทำกิจกรรมในท่าที่ไม่ถูกต้อง

ท่าที่ 1 ท่าแมวและวัว (Cat and cow) : ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหลังและหน้าท้อง
ท่าเริ่มต้น
  • อยู่ในท่าตั้งคลาน วางเข่าอยู่ระดับสะโพกและมือที่ระดับไหล่
  • จัดแนวกระดูกสันหลัง กระดูกคอ อกและเอวให้อยู่ระดับเดียวกัน

ท่าแมว (Cat Pose) ทำขณะหายใจออก

วิธีปฏิบัติ

  • โก่งหลังขึ้นหาเพดาน
  • ปล่อยศีรษะตกสบายๆ
  • ขมิบก้น กดเข่าลงพื้น
  • ขณะหายใจออก นับ1-3ช้าๆแล้วจึงเปลี่ยนเป็นท่าวัว

ท่าวัว (Cow Pose) ทำขณะหายใจเข้า

วิธีปฏิบัติ

  • แอ่นหลังและหย่อนหน้าท้องลงหาพื้น
  • เงยหน้ามองเพดานหรือมองไปด้านหน้า

ความถี่ :ทำท่าแมวและวัวสลับกันช้าๆ นับเป็น 1 รอบ ทำ 10 รอบต่อวัน

ท่าที่ 1 ท่าแมว (Cat Pose)

 

ท่าที่ 1 ท่าวัว (Cow Pose)

 

ท่าที่ 2 ท่าเกร็งกดหลังและหน้าท้องลง (Pelvic tilt) : นอกจากช่วยเสริมสร้างความแข็งแรง ทั้งหลัง ก้นและหน้าท้องแล้ว ยังช่วยเพิ่มแรงดันในช่องท้องประคองไม่ให้แรงมากระทำกับกระดูกสันหลังมากเกินไป

วิธีปฏิบัติ

  • นอนหงาย ชันเข่าทั้งสองข้าง
  • เกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้องและสะโพกโดยการขมิบก้น แขม่วท้อง กดหลังติดพื้น
  • เกร็งค้างไว้นับ 1-5 ช้าๆ แล้วปล่อย ไม่ควรกลั้นหายใจขณะเกร็ง
  • นับ 1-5 ถือเป็น 1 รอบ

ความถี่: ทำ 10 รอบ/เซต (เช้า-เย็น)

 

ท่าที่ 2 ท่าเกร็งกดหลังและหน้าท้องลง (Pelvic tilt)

 

 

ท่าที่ 3 ท่านอนบิดสะโพก (Trunk rotation) : เพิ่มความยืดหยุ่นให้กับกล้ามเนื้อและข้อต่อบริเวณสะโพก

วิธีปฏิบัติ

  • นอนหงาย ชันเข่าทั้งสองข้าง
  • บิดเข่าทั้งสองข้างไปด้านใดด้านหนึ่งจนรู้สึกตึงบริเวณหลัง
  • ค้างไว้ 5 วินาที โดยไม่กลั้นหายใจ เพื่อเป็นการยืดหลัง

ความถี่ : ทำ 10 ครั้ง/เซต ทั้งหมด 10 เซต/วัน

*ข้อควรระวัง : ผู้ป่วยที่มีภาวะกระดูกสันหลังไม่คงที่และผู้ป่วยที่มีอาการชา หรือปวดร้าวลงขา ควรหยุดทันที

ท่าที่ 3 ท่านอนบิดสะโพก (Trunk rotation)

 

ท่าที่ 4 ท่าดึงเข่าชิดอก (Single knee to chest) : บริเวณหลังส่วนล่างจะถูกยืดเหยียด และลดความตึงตัวของกล้ามเนื้อ

วิธีปฏิบัติ

  • นอนราบบนพื้น งอเข่าหนึ่งข้างเข้าหาลำตัว
  • ประสานนิ้วมือทั้งสองข้างช้อนใต้เข่า
  • ดึงเข่าเข้าหาหน้าอกให้มากที่สุด จนรู้สึกตึงกล้ามเนื้อหลังส่วนล่างและไม่เจ็บ
  • ทำค้างไว้ข้างละ 20 วินาที แล้วค่อยๆผ่อนลงไปท่านอนราบเหมือนเดิม
  • ทำด้านขวาสลับด้านซ้ายถือเป็น 1 รอบ

ความถี่: ทำ 10 รอบ/เซต (เช้า-เย็น)

ท่าที่ 4 ท่าดึงเข่าชิดอก (Single knee to chest)

 

ท่าที่ 5 ออกกำลังกายหน้าท้อง (Abdominal curl) : การที่กล้ามเนื้อหน้าท้องแข็งแรงส่งผลให้กล้ามเนื้อหน้าท้องส่วนลึกช่วยประคองให้กระดูกสันหลังมีความมั่นคงมากขึ้น แล้วทำให้ปวดหลังน้อยลง

วิธีปฏิบัติ

  • นอนราบ ชันเข่าขึ้นทั้งสองข้าง
  • แขนสองข้างเหยียดตรงข้างลำตัว
  • ยกศีรษะและไหล่ขึ้นเหนือพื้นหรือเตียง
  • นับ 1-10 ค้างไว้ช้าๆ แล้วค่อยๆผ่อนลง ถือเป็น 1 รอบ
  • ค้าง 10 วินาที/รอบ

ความถี่: ทำ 10 รอบ/เซต (เช้า-เย็น)

ท่าที่ 5 ออกกำลังกายหน้าท้อง (Abdominal curl)

 

การออกกำลังกายช่วยเสริมสร้างกระดูกและกลล้ามเนื้อ จะช่วยลดแรงกดทับของกระดูกสันหลัง ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือด นอกจากนี้ยังช่วยลดอาการปวดหลังส่วนล่างโดยเพิ่มความยืดหยุ่นและความสมดุลของกล้ามเนื้อ และช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น

 

 

เข่าเสื่อม สาเหตุ ระยะต่างๆ การรักษา

อาการเข่าเสื่อม

อาการของเข่าเสื่อมจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรคและระยะเวลาที่เสียไป อาการสำคัญที่พบได้แก่

  1. ปวดเข่า - เป็นอาการที่พบได้บ่อยที่สุดในผู้ที่มีเข่าเสื่อม โดยอาจมีความเจ็บปวดที่เข่าเมื่อเคลื่อนไหวหรือในท่าทางที่ต่างๆ เช่น เดินขึ้นลงบันได หรือนั่ง-ยืน ปวดอาจเป็นเฉพาะที่เข่าหรือกระจายไปที่ตำแหน่งอื่นๆ เช่น สะโพก ขา หรือเท้า
  2. ความกังวล - ผู้ที่มีเข่าเสื่อมอาจมีความกังวลและความเป็นห่วงเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของเข่าและการทำกิจกรรมประจำวัน เนื่องจากอาการปวดเข่าอาจทำให้เกิดความไม่สะดวกในการทำกิจกรรมต่างๆ
  3. ความเจ็บปวดในเข่าที่เป็นตัวเข้าไปในโครงเข่า - ความเจ็บปวดในจุดที่อยู่ภายในโครงเข่ามักเกิดขึ้นในระยะท้ายของโรค เมื่อกระบวนการเสื่อมของเข่าเริ่มเข้าสู่ขั้นตอนที่รุนแรงขึ้น
  4. ความตึงตัวและความจำกัดการเคลื่อนไหว - ผู้ที่มีเข่าเสื่อมอาจมีอาการความตึงตัวและความจำกัดในการเคลื่อนไหวของข้อเข่า ส่งผลให้ไม่สะดวกในการเดินหรือทำกิจกรรมต่างๆ
  5. เจ็บเวียนและบวม - ผู้ที่มีเข่าเสื่อมอาจมีอาการเจ็บเวียนและบวมที่ข้อเข่า โดยเฉพาะในช่วงที่มีการใช้งานเข่ามาก เช่น การทำกิจกรรมที่ต้องเดินเหนื่อยๆ เป็นต้น
  6. ฟื้นฟูช้า - เมื่อเข่าเสื่อมถึงระยะที่รุนแรงขึ้น อาการที่เป็นผลจากการสูญเสียส่วนของกระดูกและเนื้อเยื่อบริเวณเข่าจะเกิดขึ้นได้ การฟื้นฟูจะต้องใช้เวลานานและอาจไม่สามารถกลับมาเหมือนเดิมได้

สำหรับผู้ที่มีเส้นของอายุ 50 ปีขึ้นไปและมีอาการปวดเข่า ควรพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาอย่างทันเวลา เนื่องจากเข่าเสื่อมเป็นโรคที่มีผลกระทบในการทำกิจกรรมประจำวันและอาจทำให้ผู้ป่วยสูญเสียศักยภาพในการเคลื่อนไหวและคุณภาพชีวิตในระยะยาวได้ การรักษาเข่าเสื่อมจะขึ้นอยู่กับระยะของโรคและความรุนแรง โดยมีวิธีการรักษาหลายวิธี เช่น ออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อ การสัมผัสและการแต่งตัวให้เหมาะสม การใช้ยาแก้ปวด การศึกษาวิธีการใช้เครื่องช่วยเดิน เป็นต้น ในกรณีที่อาการหนักและไม่ดีขึ้น อาจต้องพิจารณาถึงการรักษาด้วยวิธีการผ่าตัด เช่น การเปลี่ยนข้อเข่าเทียม หรือการตัดเนื้อเยื่อในเข่าเพื่อลดอาการปวด แต่การผ่าตัดจะเป็นวิธีการสุดท้ายเมื่อการรักษาด้วยวิธีอื่นไม่สามารถปรับปรุงสภาพของเข่าได้อีกต่อไป

สำหรับการป้องกันโรคเข่าเสื่อม ผู้ที่มีอายุมากๆ ควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการเจ็บเข่า เช่น การวิ่งหรือกระโดดข้าม นอกจากนี้ การดูแลรักษาน้ำหนักของร่างกายเพื่อลดน้ำหนัก การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อและเสริมสร้างระบบข้อเข่า และการสวมใส่รองเท้าที่เหมาะสมกับการเดินและการทำกิจกรรมอื่นๆ ก็เป็นเรื่องสำคัญในการป้องกันโรคเข่าเสื่อมด้วย


สาเหตุของเข่าเสื่อม

การเสื่อมของเข่าเป็นอาการที่เกิดขึ้นเมื่อเนื้อเยื่อและกระดูกของเข่าสูญเสียความสมบูรณ์ สาเหตุของการเสื่อมของเข่าอาจเป็นได้หลายปัจจัย ซึ่งสาเหตุที่สำคัญมีดังนี้

  1. อายุ - การเสื่อมของเข่าเป็นภาวะที่พบได้บ่อยขึ้นเมื่อถึงอายุที่มากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเข้าสู่วัยกลางคนขึ้นไป ซึ่งเนื่องจากการใช้งานของเข่าเป็นเวลานานเป็นส่วนใหญ่ จนเนื้อเยื่อและกระดูกของเข่าสูญเสียความสมบูรณ์มากขึ้น
  2. โรคข้อเข่าอักเสบ - เป็นภาวะที่เกิดจากการอักเสบของเนื้อเยื่อในข้อเข่า ซึ่งอาจส่งผลให้เนื้อเยื่อและกระดูกของเข่าเสื่อมลง
  3. การบาดเจ็บของเข่า - เช่น การกระแทกหรือการกระตุกของข้อเข่า หรือการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นในการเล่นกีฬาหรือกิจกรรมที่ต้องใช้เข่าเป็นส่วนหนึ่ง
  4. น้ำหนักตัวเกินมาตรฐาน - น้ำหนักตัวที่มากเกินไปจะเป็นภาระต่อเข่า ทำให้เกิดการกดเคี้ยวร้อยและการสึกหรอของเข่าบ่อยขึ้น ทำให้เกิดการเสื่อมของเข่าได้
  5. พันธุกรรม - บางครั้งการเสื่อมของเข่าอาจเกิดขึ้นจากพันธุกรรม
  6. โรคเบาหวาน - โรคเบาหวานอาจเป็นสาเหตุของการเสื่อมของเข่า เนื่องจากเบาหวานสามารถส่งผลต่อเส้นเลือดและเนื้อเยื่อในข้อเข่าได้
  7. การเจริญเติบโตผิดปกติของเข่า - เป็นภาวะที่เกิดจากพันธุกรรม และอาจทำให้เข่าเสื่อมได้ในวัยเยาว์
  8. ความเครียดและภาวะโรคซึมเศร้า - การเครียดและภาวะโรคซึมเศร้าอาจเป็นสาเหตุของการเสื่อมของเข่า จากการส่งผลต่อระบบการหมุนเวียนและการปลดปล่อยฮอร์โมนและสารเคมีในร่างกาย
  9. การทำงานที่ต้องใช้เข่าเป็นส่วนหนึ่ง - การทำงานหรือกิจกรรมที่ต้องใช้เข่าเป็นส่วนหนึ่งเป็นเวลานาน อาจเป็นสาเหตุของการเสื่อมของเข่า

สำหรับสาเหตุอื่นๆที่อาจเป็นสาเหตุของการเสื่อมของเข่า อาจมีอีกมากกว่านี้ แต่สาเหตุที่กล่าวมาข้างต้นเป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุด


เข่าเสื่อมมีกี่ระยะ

การเสื่อมของเข่าเป็นอาการที่เกิดขึ้นเมื่อเนื้อเยื่อและกระดูกของเข่าสูญเสียความสมบูรณ์และสามารถเกิดขึ้นในหลายระยะเวลา ระยะเวลาที่เข่าเสื่อมขึ้นนั้นอาจแตกต่างกันไปได้ในแต่ละบุคคล และขึ้นอยู่กับสาเหตุของการเสื่อมที่เกิดขึ้น

อย่างไรก็ตาม มีการแบ่งระยะเวลาของการเสื่อมของเข่าออกเป็น 4 ระยะดังนี้

  1. ระยะเริ่มต้น (mild or early stage) - เป็นระยะที่มีการสูญเสียของเนื้อเยื่อและกระดูกเล็กน้อยเท่านั้น ผู้ป่วยอาจมีอาการบวมและเจ็บปวดเล็กน้อยในขณะที่กำลังใช้งานเข่า แต่อาการนี้อาจหายไปเมื่อผู้ป่วยหยุดพักผ่อน
  2. ระยะกลาง (moderate stage) - เป็นระยะที่มีการสูญเสียเนื้อเยื่อและกระดูกมากขึ้น ผู้ป่วยอาจมีอาการปวดเข่าเพิ่มขึ้นเมื่อเคลื่อนไหวและทำกิจกรรม อาจมีอาการข้อต่ออักเสบและติดเชื้อด้วย
  3. ระยะสุดท้าย (severe stage) - เป็นระยะที่มีการสูญเสียเนื้อเยื่อและกระดูกมากที่สุด ผู้ป่วยอาจมีอาการปวดเข่ารุนแรงและมีการเจ็บปวดในตำแหน่งอื่น ๆ ด้วย เช่น เข่าเล็กลง หรือข้อเท้าบวม
  4. ระยะเฉียบพลัน (acute stage) -เป็นระยะที่มีการเสื่อมของเข่าเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และผู้ป่วยอาจมีอาการปวดเข่ารุนแรงมากๆ และไม่สามารถใช้งานขาได้อย่างปกติ ระยะเวลาของระยะเฉียบพลันนี้อาจแตกต่างกันไปได้ในแต่ละบุคคล แต่ทั่วไปแล้วระยะเวลานั้นจะไม่นานเท่ากับระยะเวลาของระยะเริ่มต้น หากมีอาการปวดเข่ารุนแรง ควรพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาเพื่อป้องกันการเสื่อมของเข่าแบบรุนแรงขึ้นในอนาคต

 


การออกกำลังกายของผู้ที่มีปัญหาเข่าเสื่อมในระยะเริ่มต้น

การออกกำลังกายสำหรับผู้ที่มีเข่าเสื่อมจะต้องคำนึงถึงความเหมาะสมและปลอดภัย โดยสามารถปฏิบัติได้ตามความสามารถของแต่ละบุคคลและระดับความรุนแรงของโรค. ดังนั้น ควรปรึกษาแพทย์ก่อนออกกำลังกายเพื่อประเมินความเหมาะสมของกิจกรรมการออกกำลังกาย.

ตัวอย่างของกิจกรรมที่เหมาะสำหรับผู้ที่มีเข่าเสื่อมได้แก่:

  1. การเดินเร็วหรือการเดินระยะไกลๆ ในระดับที่เหมาะสม โดยการเดินจะช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อของขาและช่วยปรับปรุงการเคลื่อนไหวของเข่า
  2. การวิ่งระยะสั้นๆ หรือการเดินลุกเร็ว-นั่งลงเร็ว
  3. การวิดเท้า หรือการเล่นเกมส์ที่ต้องใช้เท้า เช่น วงเงิน
  4. การเล่นปิงปอง เทนนิส และกีฬาแบดมินตัน
  5. การฝึกความสมดุลของร่างกาย และการฝึกการหายใจลึกๆ เพื่อช่วยลดความเครียดและปวดในช่วงการฟื้นตัว.

อย่างไรก็ตาม หากมีอาการปวดเข่าหรืออาการไม่ปกติอื่นๆ ในระหว่างการออกกำลังกาย ควรหยุดกิจกรรมทันทีและปรึกษาแพทย์เพื่อการตรวจสอบและการรักษาต่อไป.


การดูแลตัวเองหลังผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่า

การดูแลตัวเองหลังผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าในช่วง 3 เดือนแรก เป็นสิ่งที่สำคัญเพื่อช่วยให้ร่างกายหายขาดและฟื้นคืนสุขภาพได้เร็วขึ้น ดังนั้น ด้านล่างนี้เป็นการดูแลตัวเองหลังผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าที่สำคัญ:

  1. หลังจากผ่าตัดเสร็จสิ้น ควรมีการนอนหลับที่ถูกต้องโดยใช้หมอนรองขาเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเลือดภายในแผล
  2. ควรรักษาแผลและทำความสะอาดทุกวันเพื่อป้องกันการติดเชื้อ โดยใช้น้ำยาล้างแผลที่ระบายออกมาจากแผลในขณะอาบน้ำ
  3. ควรเคลื่อนไหวเป็นประจำโดยอยู่ในท่าที่ถูกต้องเพื่อป้องกันการอักเสบและข้อต่ออืดตึง เช่น การยืดและงอข้อเข่า, การหมุนข้อเข่าแบบรวดเร็ว
  4. ควรเริ่มการกู้ฟื้นการยึดตึงของเส้นเอนโดยการเคลื่อนไหวเบาๆ
  5. ควรสังเกตและรายงานอาการที่ผิดปกติที่อาจเกิดขึ้น เช่น แผลบวม อาการปวดที่เพิ่มขึ้น หรืออาการปวดได้ยากขึ้น
  6. การออกกำลังกายตามคำแนะนำของแพทย์เพื่อช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของกล้ามเนื้อและฟื้นฟูฟังก์ชันของข้อเข่า
  7. ควรติดตามการเข้ารักษาโดยแพทย์โดยใช้การฟื้นฟูศักย์กล้ามเนื้อและการออกกำลังกายเป็นส่วนหนึ่งของการกู้ฟื้นหลังผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่า แต่อย่างไรก็ตาม การออกกำลังกายจะต้องทำโดยระมัดระวังโดยใช้ความระมัดระวังในการออกกำลังกายเพื่อไม่ให้เกิดการบาดเจ็บหรือการอักเสบ
  8. ควรปฏิบัติตามการดูแลและฝึกฝนที่แพทย์แนะนำอย่างเคร่งครัด เพื่อช่วยให้ร่างกายฟื้นคืนได้อย่างเต็มที่ และป้องกันการเกิดปัญหาทางสุขภาพใหม่
  9. ควรดูแลสุขภาพอย่างเต็มที่ โดยรับประทานอาหารที่เหมาะสมและเพียงพอ ทานผักและผลไม้เป็นประจำ เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่เพียงพอเพื่อฟื้นฟูร่างกาย
  10. หลีกเลี่ยงการนั่งท่างานที่ต้องใช้เวลานานๆและอยู่ในท่าเดิมๆเป็นระยะ ๆ ซึ่งอาจทำให้ข้อเข่าหย่อนหรืออักเสบ
  11. ควรหลีกเลี่ยงการยืนนานๆหรือเดินเร็วเพื่อป้องกันการเจ็บปวดของข้อเข่า และการต่อสู้กับแรงโน้มถ่วงที่ส่งผลต่อข้อเข่า
  12. ควรระมัดระวังเกี่ยวกับสภาพอากาศที่ช่วยทำให้ข้อเข่าอักเสบหรือบวม เช่น อากาศร้อน
  1. ควรเดินอย่างช้าๆและต้องระมัดระวังเมื่อเดินบนพื้นผิวที่ไม่เรียบ ๆ เช่น บนทางลาด หรือพื้นผิวที่มีความเปียกชื้น เพราะอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บหรือเจ็บปวดของข้อเข่า
  2. อย่างไรก็ตาม หากมีอาการปวดเข่าหลังการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่า ควรแจ้งแพทย์ทันที เพื่อให้ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและเหมาะสม
  3. ควรตรวจสอบและดูแลการแผ่รังสีของข้อเข่า เพื่อตรวจสอบว่ามีภาวะเสื่อมของข้อเข่าหรือไม่ และว่ามีการเจ็บปวดหรืออาการปวดในข้อเข่าหรือไม่
  4. ควรเป็นผู้ดูแลตัวเองโดยตรวจสอบสภาพของแผลที่ผ่าตัด และตรวจสอบว่ามีการติดเชื้อหรือไม่ โดยสามารถร้องขอความช่วยเหลือจากญาติหรือเพื่อนๆได้
  5. ควรติดตามอาการที่เกิดขึ้นต่อเนื่อง เพื่อค้นหาอาการผิดปกติใด ๆ และแจ้งแพทย์ทันทีเมื่อมีอาการที่ผิดปกติ
  6. หากมีอาการปวดเข่าหลังการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่า ควรพักผ่อนและหลีกเลี่ยงการใช้ข้อเข่ามากเกินไป รวมถึงการออกกำลังกายที่มีแรงกระแทกเช่นวิ่งหรือกระโดด เพราะอาจทำให้อาการแย่ลง และถ้ามีอาการปวดรุนแรงจนไม่สามารถทนได้ ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรักษา
  1. ควรระวังการใช้งานอุปกรณ์ที่ต้องใช้แรงมากเกินไป เช่น การพกของหนักหรือการขับรถจักรยาน โดยที่ต้องใช้แรงขับมากเกินไป เพราะอาจทำให้เกิดอาการปวดเข่าหรืออาการที่แย่ลงได้
  2. สุขภาพดีและพักผ่อนเพียงพอเป็นสิ่งที่สำคัญในการฟื้นตัวหลังจากการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่า ควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และทานอาหารที่มีวิตามิน C เพราะวิตามิน C จะช่วยเสริมสร้างกระดูกและเสริมสร้างการสร้างเนื้อเยื่อที่ผ่านการผ่าตัด เช่น ผักเขียวหรือผลไม้

สุดท้ายนี้ ควรจะระมัดระวังและปฏิบัติตามคำแนะนำข้างต้น เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวและเข้าสู่สภาวะที่ดีขึ้นได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย และควรติดตามคำแนะนำและรับการตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอโดยแพทย์ที่ได้รับการกำหนดไว้ให้เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวและกลับสู่สภาวะที่ดีขึ้นได้อย่างปลอดภัยและประสบความสำเร็จในการฟื้นตัวหลังจากการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่า


 

การรักษาด้านกายภาพบำบัดสำหรับผู้มีปัญหาเข่าเสื่อม ไม่อยากผ่าตัด

Tecar therapy หรือ Transfer Electrical Capacitive and Resistive Therapy เป็นรูปแบบหนึ่งของกายภาพบำบัดที่ใช้คลื่นไฟฟ้าความถี่สูงเพื่อกระตุ้นการฟื้นฟูในเนื้อเยื่อที่ได้รับบาดเจ็บหรือเสียหาย มีหลักฐานบางส่วนที่ระบุว่าเทคนิคนี้อาจมีประสิทธิภาพในการลดอาการปวดและปรับปรุงฟังก์ชั่นในบุคคลที่มีโรคข้อเข่าเสื่อม อย่างไรก็ตาม ยังต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อกำหนดประสิทธิภาพของเทคนิคนี้ในระยะยาวและการใช้งานที่เหมาะสม

การวิจัยระบบนี้ในบุคคลที่มีโรคข้อเข่าเสื่อมพบว่าเมื่อใช้ร่วมกับการบำบัดด้วยการออกกำลังกาย อาจมีประสิทธิภาพในการลดอาการปวด เพิ่มฟังก์ชั่นร่างกายและคุณภาพชีวิต อย่างไรก็ตาม การวิจัยนี้ระบุว่าข้อมูลยังจำกัดด้วยจำนวนเล็กและคุณภาพต่ำของการวิจัยที่มีการทำบนหัวข้อนี้

การวิจัยอีกแห่งที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Physical Therapy Science ปี 2018 ได้เปรียบเทียบผลของ Tecar therapy กับ Ultrasound therapy ในผู้ที่มีโรคข้อเข่าเสื่อม พบว่าทั้งสองการบำบัดมีประสิทธิภาพในการลดอาการปวดและปรับปรุงฟังก์ชั่นของเข่า แต่ Tecar therapy มีประสิทธิภาพมากกว่า Ultrasound therapy

Tecar therapy ใช้การส่งผ่านคลื่นไฟฟ้าความถี่สูงไปยังพื้นผิวที่มีการบาดเจ็บหรือเสียหาย เมื่อคลื่นไฟฟ้าผ่านไปผ่านเนื้อเยื่อจะสร้างการไหลของพลังงานภายในเนื้อเยื่อ ซึ่งอาจเพิ่มการไหลเวียนเลือด เสริมสร้างการฟื้นฟูเนื้อเยื่อ ลดการอักเสบ ซึ่งอาจช่วยบรรเทาอาการปวดและปรับปรุงฟังก์ชันของผู้ที่มีโรคข้อเข่าเสื่อม

Tecar capacitive applicator คือ อุปกรณ์ที่ใช้ในการทำ Tecar therapy เพื่อรักษาเส้นเอ็นท์ข้อเข่าเสื่อม โดยออกแบบมาเพื่อส่งออกฟิลด์ไฟฟ้าความถี่สูงเพื่อกระตุ้นการฟื้นฟูของเนื้อเยื่อที่ได้รับบาดเจ็บหรือเสียหาย การใช้เครื่องมือนี้บนเข่าที่เป็นโรคสามารถเพิ่มการไหลเวียนของเลือด ส่งเสริมการฟื้นฟูเนื้อเยื่อ และลดการอักเสบซึ่งอาจช่วยลดอาการปวดและปรับปรุงการทำงานในบุคคลที่เส้นเอ็นท์ข้อเข่าเสื่อม อย่างไรก็ตาม มีการบอกเตือนว่า ยังไม่มีการกำหนดพารามิเตอร์การรักษาที่เหมาะสมสำหรับ Tecar therapy รวมถึงการใช้อุปกรณ์ capacitive applicator และอาจไม่เหมาะสมกับทุกคน ดังนั้น มีความสำคัญที่จะร่วมมือกับผู้ให้การดูแลสุขภาพเพื่อหาแผนการรักษาที่เหมาะสมกับความต้องการและเป้าหมายของแต่ละบุคคล

Tecar resistive applicator เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการทำ Tecar therapy เพื่อรักษาโรคข้อเข่าเสื่อม (knee osteoarthritis) โดยต่างจาก capacitive applicator ที่มีการสร้างคลื่นไฟฟ้าแบบความจุ (capacitive) แล้วสร้างกระแสไฟฟ้าภายในเนื้อเยื่อ แต่ resistive applicator นั้นสร้างคลื่นไฟฟ้าแบบต้านทาน (resistive) ทำให้เกิดการต้านทานของเนื้อเยื่อ และเพิ่มอุณหภูมิของพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งสามารถกระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อในลักษณะที่ลึกลงไปได้ ซึ่งอาจช่วยลดอาการปวดและปรับปรุงฟังก์ชั่นของเข่าในผู้ป่วยที่เป็นโรคข้อเข่าเสื่อมได้

อย่างไรก็ตาม เช่นเดียวกับ capacitive applicator การใช้ Tecar therapy ด้วย resistive applicator ต้องมีการกำหนดพารามิเตอร์การรักษาที่เหมาะสม และอาจไม่เหมาะกับทุกคน จึงจำเป็นต้องปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์เพื่อกำหนดแผนการรักษาที่เหมาะสมกับความต้องการและเป้าหมายของแต่ละบุคคล

ไหล่ติด รักษา

ไหล่ติด คืออะไร

ไหล่ติด (Frozen shoulder) คือ อาการที่เกิดจากการอักเสบหรือการทำลายเนื้อเยื่อบริเวณข้อไหล่ ทำให้เกิดการหดตัวของเนื้อเยื่อในข้อไหล่ และทำให้เกิดอาการปวดและคร่อมของข้อไหล่ โดยอาการที่พบได้แก่

  1. อาการปวดของไหล่ เฉพาะเวลาเคลื่อนไหว อาจมีการแผลงตัวในขณะที่พยุงน้ำหนักของแขน
  2. การติดของข้อไหล่ ทำให้การเคลื่อนไหวของไหล่ถูกจำกัด ลำบาก หรือหย่อนเหนื่อยขณะทำกิจกรรมเช่น ขู่เข่า ดันท่ายกกล้ามเนื้อของแขน เป็นต้น
  3. การแขนกระตุก (Clicking) หรือเสียงดัง (Popping) ขณะเคลื่อนไหวของไหล่
  4. อาการบวมและอาการแดงของไหล่

สาเหตุ

ของไหล่ติด (Frozen shoulder) ยังไม่เป็นที่ทราบอย่างแน่ชัด แต่โดยทั่วไปแล้ว มักเกิดจากการทำลายหรือการอักเสบของเนื้อเยื่อในข้อไหล่ ทำให้เกิดการหดตัวของเนื้อเยื่อและการเกิดนิวรอน (Scar tissue) ที่บริเวณข้อไหล่ ทำให้การเคลื่อนไหวของไหล่ถูกจำกัด และเกิดอาการปวดและคร่อมของข้อไหล่

นอกจากนี้ ยังมีบางปัจจัยที่เป็นปัจจัยเสี่ยงในการเกิดไหล่ติด เช่น

  1. คนที่มีโรคเบาหวาน หรือโรคไทรอยด์
  2. คนที่มีภาวะความดันโลหิตสูง
  3. คนที่มีการบาดเจ็บหรืออักเสบของข้อไหล่
  4. คนที่เคยมีไหล่ติดมาก่อน
  5. คนที่มีสภาพแข็งแรงของเนื้อเยื่อบริเวณข้อไหล่เกินไป เช่น คนที่ออกกำลังกายหนักเกินไป

การรักษาไหล่ติด (Frozen shoulder) จะขึ้นอยู่กับระยะของอาการและความรุนแรงของอาการ แต่โดยทั่วไปแล้ว การรักษาไหล่ติดจะประกอบไปด้วย

  1. การดูแลเองที่บ้าน: ควรเคลื่อนไหล่อย่างช้า ๆ เพื่อลดอาการปวด ใช้ผ้าห่อไหล่เพื่อรักษาความอบอุ่น และเลือกทำการกำจัดนิวรอนในการทำกิจกรรมที่ไม่ต้องใช้การเคลื่อนไหล่เยอะ ๆ
  2. การบริหารกล้ามเนื้อและเตรียมตัวก่อนทำกิจกรรม: การบริหารกล้ามเนื้อต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับไหล่ สามารถช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ นอกจากนี้ การประกอบกิจกรรมก่อนที่จะเริ่มใช้ไหล่อย่างหนักๆ สามารถช่วยให้ไหล่แข็งแรงและคล้องตัวก่อนเริ่มทำกิจกรรม
  3. การใช้ยา: แพทย์อาจสั่งยาแก้ปวดและยาต้านการอักเสบเพื่อช่วยลดอาการปวดและอักเสบบริเวณไหล่
  4. การฝังเข็ม: การฝังเข็ม (Acupuncture) เป็นวิธีการรักษาไหล่ติดที่ใช้งานได้ดี โดยการฝังเข็มจะช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือด และช่วยให้กล้ามเนื้อหลังหย่อนลง
  5. การผ่าตัด: ถ้าอาการไหล่ติดรุนแรงและไม่ประสบความดีขึ้นจากการรักษาอื่นๆ แพทย์อาจต้องพิจารณาการผ่าตัด เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาที่รุนแรงขึ้น
  6. การกายภาพบำบัด (physical therapy) เป็นวิธีการรักษาไหล่ติดที่มีประสิทธิภาพมากๆ โดยผู้ป่วยจะได้รับการประเมินสภาพร่างกาย และได้รับการออกแบบรายการกายภาพบำบัดที่เหมาะสมกับอาการของเขาเพื่อช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของไหล่และลดอาการปวด
    1. การยืดเส้นเอียง (Diagonal Stretch): เป็นการยืดกล้ามเนื้อและเส้นเอียงของไหล่และเอว โดยใช้เครื่องมือหรือโดยการทำกิจกรรมได้เอง
    2. การยืดกล้ามเนื้อส่วนหลัง (Back Stretch): การยืดกล้ามเนื้อส่วนหลังจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของไหล่ และช่วยลดความตึงของกล้ามเนื้อหลัง
    3. การปรับสมดุลกล้ามเนื้อ (Muscle Balancing): เป็นการเสริมกล้ามเนื้อและลดความตึงของกล้ามเนื้อที่อ่อนแอ เพื่อช่วยเพิ่มความเสถียรของไหล่
    4. การฝึกแรงกล้ามเนื้อ (Strength Training): เป็นการฝึกกล้ามเนื้อเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของไหล่และป้องกันการบาดเจ็บซ้ำ
    5. การฝึกการหมุนไหล่ (Rotator Cuff Strengthening): เป็นการฝึกกล้ามเนื้อในส่วนของ Rotator Cuff เพื่อช่วยเสริมและป้องกันการบาดเจ็บ
    6. การใช้เครื่องมือช่วย (Assistive Devices)
    7. การกระตุ้นกล้ามเนื้อด้วยไฟฟ้า (Electrical Stimulation): เป็นการใช้กระแสไฟฟ้าเพื่อช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและลดอาการปวด
    8. การใช้เทปกาว (Kinesiology Tape): เทปกาวช่วยเสริมและรักษาไหล่โดยใช้การปรับและแก้ไขการทำงานของกล้ามเนื้อและเส้นเอียง
    9. การออกกำลังกายแบบโยคะ (Yoga): โยคะเป็นการออกกำลังกายที่เน้นการยืดเส้นเอียงและเพิ่มความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ ซึ่งจะช่วยลดความตึงของไหล่
    10. การพักผ่อนและรักษาสมาธิ (Meditation): การพักผ่อนและรักษาสมาธิช่วยลดความเครียดและความตึงของไหล่

 

การออกกำลังกาย ผู้สูงอายุ

ขณะที่คนแก่กำลังแก่ขึ้น การรักษาพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เป็นเชิงกิจกรรมย่อมมีความสำคัญในการส่งเสริมสุขภาพทางกายและทางจิตใจ ดังนี้คือบางการออกกำลังกายที่เหมาะสมสำหรับผู้สูงอายุ:

  • การเดิน: การเดินเป็นการออกกำลังกายที่มีผลกระทบต่ำและสามารถทำได้ทุกที่ มันช่วยปรับปรุงสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด รักษาความหนาแน่นของกระดูก และลดความเสี่ยงของการล้มลง
  • ไทเก็ก: การฝึกไทเก็กเป็นการออกกำลังกายที่มีผลกระทบต่ำ ที่เน้นการเคลื่อนไหวช้า อากาศหายใจลึก มันช่วยปรับปรุงสมดุล ความยืดหยุ่น และสุขภาพทางกายและจิตใจโดยรวม
  • โยคะ: โยคะเป็นการออกกำลังกายแบบอ่อนโยนที่ช่วยปรับปรุงความยืดหยุ่น สมดุล และความแข็งแรง มันยังส่งเสริมความผ่อนคลายและช่วยลดความเครียดและความวิตกกังวล
  • การฝึกด้วยการต้านทาน: การฝึกด้วยการต้านทานช่วยรักษากล้ามเนื้อและความแข็งแรงซึ่งมีประโยชน์ต่อฟังก์ชั่นทางกายภาพและอิสระในการดำเนินชีวิต
  • การออกกำลังกายในน้ำ: เช่นว่าการว่ายน้ำหรือการทำโยคะน้ำสามารถเป็นการกระทำที่มีผลกระทบต่ำและอ่อนโยนต่อข้อต่อ ทำให้เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้สูงอายุที่มีอาการเจ็บข้อต่อหรือข้อเสื่อม

สำคัญมากที่ผู้สูงอายุต้องปรึกษากับผู้ให้การดูแลสุขภาพของพวกเขาก่อนเริ่มโปรแกรมการออกกำลังกายเพื่อให้มั่นใจว่าปลอดภัยสำหรับสุขภาพและระดับการออกกำลังกายของพวกเขาโดยเฉพาะ

อย่างไรก็ตาม อาการเจ็บปวดตามข้อเข่า กล้ามเนื้อ หรือส่วนต่างๆของร่างกาย อาจส่งผลให้ผู้สูงอายุไม่อยากจะเดิน หรือทำกิจกรรมต่างๆได้ เราจึงแนะนำให้ลูกหลาน พาผู้สูงอายุในบ้าน เช็คร่างกาย ฝึกฝนกับนักกายภาพบำบัดผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้เค้าเหล่านั้น มีคุณภาพชีวิตที่ดี และสามารถออกกำลังกายได้ด้วยตัวเอง