คลินิกกายภาพบำบัด บางพลัด MRT สิรินธร

ปวดกล้ามเนื้อเรื้อรัง

ปวดกล้ามเนื้อเรื้อรัง

หมายถึงความปวดเรื้อรังในกล้ามเนื้อที่เป็นปัญหาต่อเนื่องและมักเกิดเป็นอาการปวดเรื้อรังเป็นเวลานานหรือเป็นประจำตลอดเวลา อาการปวดกล้ามเนื้อเรื้อรัง (Chronic Muscular Pain) โดยไม่มีสาเหตุที่ชัดเจน อาการที่แท้จริงของปวดกล้ามเนื้อเรื้อรังมักเป็นอาการปวดและ”จุดปวด” และอาจเกิดได้ในหลายส่วนของร่างกาย

สาเหตุ

ปวดกล้ามเนื้อเรื้อรังยังไม่ชัดเจน แต่มีปัจจัยหลายอย่างที่อาจมีผลในการเป็นโรคนี้ เช่น ความเครียด, การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ, การทำงานหนัก, การบาดเจ็บกล้ามเนื้อ, หรือปัจจัยทางพฤติกรรมอื่น ๆ อาการอื่น ๆ ที่อาจเกิดร่วมไปกับปวดกล้ามเนื้อเรื้อรังรวมถึงเจ็บปวดในข้อต่อ, ปัญหาในการนอนหลับ, ความเมื่อยล้า, และอาการเจ็บหรือชาในอวัยวะอื่น ๆ ได้รวมทั้ง ปัญหาการเกิดอาการเมื่อยและอ่อนล้าของกล้ามเนื้อ

การรักษาปวดกล้ามเนื้อเรื้อรังมักจะเน้นการจัดการอาการ โดยการควบคุมความเครียด, การออกกำลังกายอย่างเหมาะสม, การใช้ยาและการฝึกปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอาหาร นอกจากนี้การรักษาเสริมด้วยการประคับกล้ามเนื้อ, การฝึกอบรมการควบคุมกล้ามเนื้อ, และการรับบริการจากนักบำบัดทางกายภาพอาจช่วยให้คุณมีอาการดีขึ้นได้ คุณควรพบแพทย์หากคุณมีปัญหาปวดกล้ามเนื้อเรื้อรังเพื่อให้ได้การวินิจฉัยและแผนการรักษาที่เหมาะสมสำหรับคุณและสามารถป้องกันการเป็นโรคนี้ด้วยการดูแลสุขภาพอย่างดีและลดความเครียดตามเที่ยวที่จะเป็นไปได้

 

อาการ

อาการของปวดกล้ามเนื้อเรื้อรังมีลักษณะหลายประการและอาจแตกต่างไปตามบุคคลแต่ละคน อาการที่พบบ่อยรวมถึง:

1.ปวดกล้ามเนื้อ: อาการปวดอาจเรื้อรัง,ปวดคอเรื้อรังได้ และอาจปวดตามข้อต่าง ๆ ในร่างกาย

2.ปวดคอ: กล้ามเนื้อมักมีความตึง ทำให้เกิดความบกพร่องต่อการเคลื่อนไหวของร่างกาย

3.เจ็บปวดในข้อ: บางครั้งปวดกล้ามเนื้อเรื้อรังอาจส่งผลให้ข้อต่อเกิดอาการเจ็บปวดและอาจก่อให้เกิดความบกพร่องในการเคลื่อนไหวของข้อ

4.ความเมื่อยและอ่อนล้า: คนที่มีปวดกล้ามเนื้อเรื้อรังอาจรู้สึกเหนื่อยและอ่อนล้าได้ง่ายขึ้น

5.อาการนอนไม่หลับ: ปวดกล้ามเนื้อเรื้อรังอาจทำให้มีปัญหาในการนอนหลับหรือทำให้คุณตื่นขึ้นตอนกลางดึก

6.อาการเจ็บหรือชาในบางส่วนของร่างกาย: ปวดกล้ามเนื้อเรื้อรังอาจร่วมกับอาการเจ็บหรือชาในส่วนของร่างกายที่เป็นจุดปวด

7.ปัญหาการควบคุมอารมณ์: ส่วนหนึ่งของคนที่มีปวดกล้ามเนื้อเรื้อรังอาจมีปัญหาในการควบคุมอารมณ์ และรู้สึกวิตกกังวล

อาการเหล่านี้มักเกิดเป็นระยะยาวและอาจเป็นปัญหาที่รักษายาก หากคุณมีอาการเหล่านี้และสงสัยว่าคุณอาจเป็นโรคปวดกล้ามเนื้อเรื้อรัง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรับคำแนะนำเกี่ยวกับการรักษาและกายภาพบำบัด

ระยะความรุนแรง

ปวดกล้ามเนื้อเรื้อรังมีระยะความรุนแรงที่แตกต่างไปได้ตามบุคคลแต่ละคนและตามปัจจัยต่าง ๆ ระยะความรุนแรงของโรคนี้อาจแบ่งเป็นสามระดับหลักคือ:

1.ระยะความรุนแรงต่ำ: ในระยะแรกๆ ของโรค, ความเจ็บปวดและการอักเสบอาจไม่รุนแรงมาก และมักเป็นอาการที่จะหายไปเองหากคนที่ป่วยมีการพักผ่อนเพียงพอ ระยะนี้อาจไม่มีอาการอื่น ๆ

2.ระยะความรุนแรงปานกลาง: ในระยะนี้, อาการปวดและการอักสบมีความรุนแรงมากขึ้น และเห็นได้อย่างชัดเจน ความอ่อนล้าอาจก่อให้เกิดการปวดและอักเสบของกล้ามเนื้อทำให้ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของร่างกาย เช่น มีปัญหาในการเดิน หรือใช้แขนและขา

3.ระยะความรุนแรงสูง: ในระยะสุดท้าย, อาการปวดและอักเสบมีความรุนแรงมากที่สุด และมักมีปัญหาในการเคลื่อนไหว คนที่อยู่ในระยะนี้อาจจำเป็นต้องพยายามหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้ปวดมากขึ้น และอาจต้องพบแพทย์หรือนักบำบัดทางกายเพื่อรับการรักษาและการบำบัดทางกายเพื่อควบคุมอาการ

 

ควรระมัดระวังและดูแลระดับความรุนแรงของโรคตลอดเวลา เนื่องจากมีความเป็นไปได้ที่ความรุนแรงของโรคจะเปลี่ยนแปลง การรักษาและการบำบัดทางกายที่เหมาะสมอาจช่วยให้คุณควบคุมอาการได้ดียิ่งขึ้นและลดความรุนแรงของโรคได้ ซึ่งทำให้สามารถจัดการกับปวดกล้ามเนื้อเรื้อรังให้เหมาะสม.

 

กายภาพบำบัด

การบำบัดทางกาย (Physical Therapy) เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการรักษาปวดกล้ามเนื้อเรื้อรังที่มีประสิทธิภาพ การบำบัดทางกายมุ่งเน้นการฝึกกายภาพและการออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและควบคุมการเคลื่อนไหวในร่างกาย นี่คือวิธีการบำบัดทางกายที่อาจช่วยลดอาการปวดและป้องกันสุขภาพของคนที่มีปัญหาเรื่องกล้ามเนื้อเรื้อรัง:

1.การประคบกล้ามเนื้อ: การบำบัดทางกายสามารถช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อโดยใช้การฝึกซ้อมเพื่อเพิ่มความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ

2.การฝึกปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอาหาร: นักบำบัดทางกายอาจให้คำแนะนำเกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอาหารและการออกกำลังกายในชีวิตประจำวัน เพื่อส่งเสริมสุขภาพของคนที่มีปัญหาเรื่องกล้ามเนื้อเรื้อรัง

3.การฝึกการควบคุมกล้ามเนื้อ: นักกายภาพบำบัดอาจช่วยในการฝึกควบคุมกล้ามเนื้อเพื่อควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกาย

4.การใช้เทคนิคการบำบัดทางกาย: นักบำบัดทางกายอาจใช้เทคนิคการบำบัดทางกายต่าง ๆ เช่นการนวด, การใช้เครื่องช่วยในการรักษา, และการนำเทคนิคการบำบัดทางกายในการรักษาอาการปวด

5.การออกกำลังกาย: การบำบัดทางกายอาจสร้างโปรแกรมออกกำลังกายที่เหมาะสมสำหรับคนที่มีปวดกล้ามเนื้อเรื้อรัง โดยออกกำลังกายเป็นระยะเวลาที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัย

การรักษาด้วยการบำบัดทางกายต้องปรับแต่งตามความต้องการและสภาพสุขภาพของแต่ละคน การปรึกษาแพทย์และนักบำบัดทางกายเป็นสิ่งสำคัญการทำกายภาพบำบัด ด้วยเครื่องมือทางกายภาพบำบัดไม่ว่าจะเป็น TECAR,Shockwave,High power laser, Ultrasound,PMS,Electrical Stimulation รวมถึง Manual technique ต่างๆ และคำแนะนำการปฏิบัติท่าทางที่เหมาะสม เพื่อบรรเทาอาการปวด รักษาอาการของโรค วินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสมสำหรับคุณ.

 

ติดต่อเรา

Tel:098 225 2255

Facebook:Bangkok pain clinic คลินิกกายภาพบำบัด

Gmail:bangkokpainclinic@gmail.com

Website:bangkokpainclinic.com

สาเหตุของการปวดเข่า (Knee pain)

ปวดเข่าเป็นอาการที่สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ดังนี้:

  1. อุบัติเหตุ: เป็นอีกสาเหตุที่ทำให้ข้อเข่าได้รับบาดเจ็บ เช่น การตกหรือกระแทกข้อเข่า, การเล่นกีฬาที่เกิดการกระแทก เป็นต้น
  2. ข้อเข่าเสื่อม (Osteoarthritis): เป็นโรคที่เกิดจากการสึกกร่อนของกล้ามเนื้อและกระดูกข้อเข่า ทำให้ข้อเข่าอ่อนแรงและปวด
  3. เข่าด้านในอักเสบ(Knee Bursitis): การอักเสบของถุงน้ำในข้อเข่าสามารถทำให้เกิดการปวดเข่า
  4. เอ็นหัวเข่าอักเสบ (Knee Tendonitis): การอักเสบของเส้นเอ็นที่เชื่อมต่อกล้ามเนื้อกับกระดูกข้อเข่า
  5. การบิดเข่าหรือเคล็ดเข่า (Knee Sprain): การบิดหรือการเคล็ดของข้อเข่าสามารถทำให้เกิดการบาดเจ็บและปวดเข่าได้
  6. เก๊าท์ (Gout):โรคเก๊าท์ (Gout) เป็นโรคที่เกิดขึ้นเมื่อมีการสะสมของกรดยูริกในร่างกาย โรคนี้มักเกิดขึ้นในข้อต่างๆ ของร่างกาย แต่มักพบมากที่สุดในข้อปลายเท้า (big toe) โดยส่วนใหญ่เกิดขึ้นที่ข้อเท้า
  7. การบาดเจ็บของเส้นเอ็นที่อยู่บริเวณต้นขาด้านนอกเชื่อมกล้ามเนื้อบริเวณด้านข้างและกล้ามเนื้อก้นด้านข้างยาวลงมาผ่านเข่า (Iliotibial Band Syndrome): การใช้งานมากของเส้นเอ็นอาจทำให้เกิดการอักเสบและปวดเข่า
  8. โรคอื่นๆ: การปวดเข่ายังสามารถเกิดขึ้นจากโรคอื่นๆ เช่น โรคข้อเข่าโดยเฉพาะ (Rheumatoid Arthritis), การติดเชื้อ, หรืออาการอื่นๆ ที่มีผลต่อข้อเข่า

การรักษาอาการปวดเข่าจะขึ้นอยู่กับสาเหตุของอาการ การปรึกษาแพทย์เป็นสิ่งสำคัญเพื่อวินิจฉัยและรับคำแนะนำเกี่ยวกับการรักษาที่เหมาะสม เช่น การพบแพทย์อาจแนะนำการฝึกหัดกล้ามเนื้อและกำจัดอาการอักเสบด้วยยาต้านอักเสบหรือรักษาแบบศัลยกรรมเมื่อจำเป็น

การรักษาปวดเข่าสามารถทำได้หลายวิธี เช่น

  1. กายภาพบำบัด: แพทย์หรือนักกายภาพบำบัดจะสามารถตรวจประเมินร่างกาย และให้การรักษาทางกายภาพบำบัด รวมถึงแนะนำการทำกิจกรรมที่เหมาะสมเพื่อป้องกันการปวดเข่าที่เพิ่มมากขึ้นและเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อข้อเข่าเพื่อลดแรงกระทำต่อข้อเข่าขณะทำกิจกรรม หรือกิจวัตรประจำวันได้
  2. การใช้ยา: การใช้ยาลดปวด เช่น ยาระงับปวด (pain relievers) หรือยาต้านอักเสบ (anti-inflammatory drugs) อาจช่วยลดอาการปวดเข่าและการอักเสบของข้อเข่า
  3. การสวมอุปกรณ์ช่วยพยุงข้อเข่า : การใช้เข่าเสริมหรืออุปกรณ์ช่วยพยุงอื่นๆ เช่น knee support สามารถช่วยลดแรงที่กระทำต่อข้อเข่าที่มากเกินไป ช่วยพยุงข้อเข่าไม่ให้มีการบาดเจ็บซ้ำในผู้ที่ได้รับการบาดเจ็บบริเวณข้อเข่า หรือช่วยกระชับข้อเข่า เพิ่มความมั่นคงให้กับข้อเข่า และบรรเทาอาการปวดได้
  4. การแก้ไขรูปแบบการเดิน: หากรูปแบบการเดินของคุณไม่ถูกต้อง กายภาพบำบัดอาจช่วยปรับปรุงรูปแบบการเดินเพื่อลดแรงที่กระทำต่อข้อเข่าได้
  5. การผ่าตัด: ในกรณีที่มีความเสี่ยงสูงหรืออาการรุนแรงมาก แพทย์อาจแนะนำการผ่าตัดข้อเข่าเพื่อซ่อมแซมหรือใส่อุปกรณ์เทียมแทนข้อเข่าที่เสื่อมสภาพ
  6. การบริหารสุขภาพรวม: การรักษาสุขภาพทั่วไป เช่น การควบคุมน้ำหนัก, การออกกำลังกายอย่างเหมาะสม, และการบริหารสตรีอย่างดี สามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดปัญหาข้อเข่าได้

การรักษาปวดเข่าขึ้นอยู่กับสาเหตุและระดับความรุนแรงของปัญหา ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและแผนการรักษาที่เหมาะสมสำหรับอาการปวดของแต่ละบุคคลและควรรักษาตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดเพื่อป้องกันอันตรายและฟื้นฟูสภาพข้อเข่าให้ดีขึ้นได้อย่างเหมาะสม

การทำกายภาพบำบัดถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ที่ไม่อยากผ่าตัด ด้วยเครื่องมือทางกายภาพบำบัดไม่ว่าจะเป็น TECAR,Shockwave,High power laser, Ultrasound,PMS,Electrical Stimulation รวมถึง Manual technique ต่างๆ และคำแนะนำการปฏิบัติท่าทางที่เหมาะสม เพื่อบรรเทาอาการปวด ป้องกันการบาดเจ็บของข้อเข่าที่อาจเพิ่มขึ้นจากการใช้ชีวิตประจำวัน และฟื้นฟูกล้ามเนื้อให้แข็งแรงมากขึ้น

ติดต่อเรา

Tel:098 225 2255

Facebook:Bangkok pain clinic คลินิกกายภาพบำบัด

Gmail:bangkokpainclinic@gmail.com

Website:bangkokpainclinic.com

 

อันตรายที่แฝงมากับรองเท้าส้นสูง

อันตรายที่แฝงมากับรองเท้าส้นสูง

ปัจจุบันแฟชั่นการแต่งตัวให้ดูดีเป็นสิ่งสำคัญ สาวๆในยุคสมัยนี้ให้ความสำคัญกับบุคลิกการแต่งตัวเป็นอันดับต้นๆ ก่อนออกจากบ้านต้องดูดี ซึ่งขาดไม่ได้เลยคือรองเท้าส้นสูงคู่ใจของใครหลายๆคน ที่จะเพิ่มความมั่นใจ รูปลักษณ์ให้ดูดีดูสง่า ซึ่งลืมไปว่าการสวมรองเท้าที่ดีและถูกต้องนั้นก็สำคัญเช่นกัน หากสวมรองเท้าส้นสูงทุกๆวันเป็นระยะเวลานานๆ อาจจะส่งผลกระทบต่อร่างกายของเราโดยที่ไม่รู้ตัว

 

ข้อเสีย

1.ปวดเท้า การสวมรองเท้าส้นสูงทำให้ทรงตัวลำบาก ลำตัวโน้มไปด้านหน้าส่งผลให้กระดูกเท้าต้องรับน้ำหนัก หากถูกบีบรัดจนเกินไปอาจส่งผลให้กระดูกและเส้นประสาทบริเวณฝ่าเท้าเกิดการอักเสบได้

2.ปวดน่องเอ็นร้อยหวายตึง ในการสวมใส่รองเท้าเหมือนเป็นการยืนเขย่าตลอดเวลาจึงส่งผลให้บริเวณที่เป็นเอ็นร้อยหวายนั้นตึง เป็นสาเหตุที่ทำให้ปวดน่อง หรือเป็นตะคริว

3.ปวดเข่า เสี่ยงเป็นโรคเข่าเสื่อมการเดินบนส้นสูงนั้นจะเกิดแรงกระแทกที่บริเวณข้อเข่า เข่าเป็นกระดูกข้อต่อที่ใหญ่ที่สุด ทำให้การรองรับความตึงเป็นระยะเวลานานนั้นอาจจะทำให้น้ำในไขข้อกระดูกลดลงจนเกิดเป็นรอยแตกทำให้ข้อเข่าเสื่อมและเสี่ยงต่อการเป็นโรคกระดุกพรุนได้

4.ปวดหลัง การใส่ส้นสูงทำให้ช่วงลำตัวแอ่นไปด้านหน้า ซึ่งกระดูกสันหลังจะคดเป็นรูปตัว S หากเป็นในระยะเวลานานๆ ก็จะมีปัญหาปวดหลังตามมา

5.อุบัติเหตุ การสวมรองเท้าส้นสุงนั้นมีโอกาสทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย เพราะต้องทรงตัวยืนบนรองเท้าที่มีความมั่นคงไม่แข็งแรง หากพื้นทางเดินขรุขระอาจะทำให้สะดุดหกล้มหรือข้อเท้าพลิกได้

6.โครงสร้างเท้าผิดรูป การใส่รองเท้าส้นสูงที่บีบรัดแน่นเท้า เช่น รองเท้าที่มีหัวแคบ เป็นสายรัดหน้าเท้าของเราหากใส่เป็นเวลานานๆ กระดูกนิ้วเท้าที่โดนบีบรัดเป็นเวลานานก็จะทำให้ผิดรูปได้

 

ทำความรู้จักกับOffice syndrome

Office Syndrome ส่งผลต่อร่างกายของคุณอย่างไร

ในโลกปัจจุบันที่หมุนไปอย่างรวดเร็ว การนั่งที่โต๊ะเป็นเวลานานๆ กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเราอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าคุณจะเป็นนักเรียน มืออาชีพ หรือฟรีแลนซ์ การใช้เวลาหลายชั่วโมงอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์กลายเป็นเรื่องปกติ

มารู้จักโรคยอดฮิต ออฟฟิศซินโดรม

ออฟฟิศซินโดรม (Office Syndrome) คือ กลุ่มอาการปวดกล้ามเนื้อและเยื่อพังผืด (Myofascial Pain Syndrome) เนื่องมาจากรูปแบบการทำงานที่ใช้กล้ามเนื้อมัดเดิมซ้ำๆ เป็นระยะเวลานานต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลให้เกิดอาการกล้ามเนื้ออักเสบและปวดเมื่อยตามอวัยวะต่างๆ โดยเฉพาะบริเวณ คอ หลัง ไหล่ บ่า แขน หรือข้อมือ ซึ่งอาการปวดดังกล่าวอาจลุกลามจนกลายเป็นอาการปวดเรื้อรัง

 

ออฟฟิศซินโดรมเกิดได้อย่างไร

โดยมีสาเหตุและปัจจัยที่ทำให้มีโอกาสเกิดกลุ่มอาการดังกล่าว ได้แก่

  • ท่าทางการทำงาน (Poster) เช่น ลักษณะท่านั่งทำงาน การวางมือ ศอก บนโต๊ะทำงานที่ไม่ถูกต้อง
  • การบาดเจ็บจากงานซ้ำ ๆ (Cumulative Trauma Disorders) หรือระยะเวลาในการทำงานที่มากเกินไป ทำให้ร่างกายเกิดการล้า เช่น การใช้ข้อมือซ้ำ ๆ ในการใช้เมาส์ อาจทำให้เกิดการอักเสบของเอ็นบริเวณข้อมือ หรือพังผืดเส้นประสาทบริเวณข้อมือได้
  • สิ่งแวดล้อมในการทำงานที่ไม่เหมาะสม เช่น ลักษณะโต๊ะทำงาน หน้าจอคอมพิวเตอร์ แสงสว่างในห้องทำงาน

 

เช็คอาการออฟฟิศซินโดรม

-ปวดกล้ามเนื้อเฉพาะส่วนใดส่วนหนึ่ง มักมีอาการปวดแบบกว้างๆ ๆไม่สามารถชี้จุดหรือระบุตำแหน่งที่ปวดได้อย่างชัดเจน เช่น คอ บ่า ไหล่ สะบัก

-ปวดศีรษะเรื้อรัง หรือในบางครั้งมีอาการปวดหัวไมเกรนร่วมด้วย ซึ่งมีสาเหตุมาจากความเครียดหรือการที่ใช้สายตาเป็นระยะเวลานาน

-ปวดหลังเรื้อรัง เป็นอาการที่พบบ่อยในผู้ป่วยโรคออฟฟิศซินโดรม เนื่องจากการนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์หลายชั่วโมง นั่งไม่ถูกท่า นั่งหลังค้อม อาจทำให้กล้ามเนื้อต้นคอ เมื่อย เกร็งอยู่ตลอด รวมถึงงานที่ต้องยืนนานๆ โดยเฉพาะคุณผู้หญิงที่ใส่ส้นสูง

-ปวดตึงที่ขา หรือเหน็บชา อาการชาเกิดจากการนั่งนานๆ ทำให้เส้นเลือดดำถูกกดทับและส่งผลให้เลือดไหลเวียนผิดปกติ

-ปวดตา ตาพร่า เนื่องจากต้องมีการมองหน้าจอคอมพิวเตอร์นานๆ หรือใช้สายตาอย่างหนักเป็นเวลานาน

-มือชา นิ้วล็อค ปวดข้อมือ เพราะการใช้คอมพิวเตอร์จับเมาส์ในท่าเดิมๆ นาน ทำให้กล้ามเนื้อกดทับเส้นประสาทและเส้นเอ็นจนอักเสบ เกิดพังผืดทำให้ปวดปลายประสาท นิ้วหรือข้อมือล็อคได้

การรักษาออฟฟิศซินโดรม

การรักษาโรคออฟฟิศซินโดรมมีด้วยกันหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการรักษาด้วยยา การปรับสภาพแวดล้อมในการทำงาน การออกกำลังกายเพื่อรักษาอาการปวด การทำกายภาพบำบัดด้วยเครื่องมือกายภาพบำบัด

กายภาพบำบัดช่วยได้อย่างไร

 

อย่างไรก็ตาม การใช้ชีวิตอยู่ประจำนี้อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพร่างกายและจิตใจของเราได้ ออฟฟิศซินโดรม หรือที่รู้จักในชื่อคอมพิวเตอร์ซินโดรม เป็นภาวะที่ส่งผลต่อผู้ที่นั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพต่างๆ เช่น ปวดคอ ปวดหลัง ปวดศีรษะ และอื่นๆ โชคดีที่การทำกายภาพบำบัดสามารถช่วยบรรเทาอาการออฟฟิศซินโดรมและทำให้คุณภาพชีวิตโดยรวมของคุณดีขึ้นได้ ในบทความนี้ เราจะพูดถึงว่าออฟฟิศซินโดรมส่งผลต่อร่างกายของคุณอย่างไร และกายภาพบำบัดสามารถช่วยให้คุณเอาชนะอาการนี้ได้อย่างไร ดังนั้น นั่งลงและอ่านต่อเพื่อค้นพบวิธีที่คุณสามารถรักษาสุขภาพให้แข็งแรงและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพแม้จะใช้เวลาอยู่ที่โต๊ะทำงานเป็นเวลานาน

 

 

Office syndrome กับ กายภาพบำบัด

Office Syndrome ส่งผลต่อร่างกายของคุณอย่างไร และกายภาพบำบัดช่วยได้อย่างไร

ในโลกปัจจุบันที่หมุนไปอย่างรวดเร็ว การนั่งที่โต๊ะเป็นเวลานานๆ กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเราอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าคุณจะเป็นนักเรียน มืออาชีพ หรือฟรีแลนซ์ การใช้เวลาหลายชั่วโมงอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์กลายเป็นเรื่องปกติ อย่างไรก็ตาม การใช้ชีวิตอยู่ประจำนี้อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพร่างกายและจิตใจของเราได้ ออฟฟิศซินโดรม หรือที่รู้จักในชื่อคอมพิวเตอร์ซินโดรม เป็นภาวะที่ส่งผลต่อผู้ที่นั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพต่างๆ เช่น ปวดคอ ปวดหลัง ปวดศีรษะ และอื่นๆ โชคดีที่การทำกายภาพบำบัดสามารถช่วยบรรเทาอาการออฟฟิศซินโดรมและทำให้คุณภาพชีวิตโดยรวมของคุณดีขึ้นได้ ในบทความนี้ เราจะพูดถึงว่าออฟฟิศซินโดรมส่งผลต่อร่างกายของคุณอย่างไร และกายภาพบำบัดสามารถช่วยให้คุณเอาชนะอาการนี้ได้อย่างไร ดังนั้น นั่งลงและอ่านต่อเพื่อค้นพบวิธีที่คุณสามารถรักษาสุขภาพให้แข็งแรงและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพแม้จะใช้เวลาอยู่ที่โต๊ะทำงานเป็นเวลานาน


สาเหตุของออฟฟิศซินโดรม

ออฟฟิศซินโดรม เกิดจากการนั่งทำงานนานๆ และท่าทางที่ไม่ถูกต้อง เมื่อคุณนั่งหน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน คุณมักจะโน้มตัวไปข้างหน้า หลังค่อมไหล่ และเอียงศีรษะไปข้างหน้า สิ่งนี้ทำให้กล้ามเนื้อคอ หลัง และไหล่ของคุณตึงมาก นอกจากนี้ การนั่งอยู่ในท่าเดิมเป็นเวลานานอาจทำให้เลือดไหลเวียนและออกซิเจนไปเลี้ยงกล้ามเนื้อลดลง ทำให้เกิดอาการปวดตึง
อีกสาเหตุหนึ่งของออฟฟิศซินโดรมคือการใช้คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ดิจิทัลอื่นๆ แสงสีฟ้าที่ปล่อยออกมาจากอุปกรณ์เหล่านี้สามารถรบกวนรูปแบบการนอนหลับของคุณ ซึ่งนำไปสู่ความเหนื่อยล้าและเหนื่อยล้า นอกจากนี้ การจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์นานหลายชั่วโมงอาจทำให้ปวดตา ปวดศีรษะ และตาแห้งได้
ในที่สุด การใช้ชีวิตแบบนั่งนิ่งอาจทำให้น้ำหนักขึ้นและเป็นโรคอ้วนได้ เมื่อคุณนั่งเป็นเวลานาน คุณจะเผาผลาญแคลอรี่ได้น้อยกว่าเมื่อคุณยืนหรือเคลื่อนที่ไปรอบๆ เมื่อเวลาผ่านไป สิ่งนี้สามารถนำไปสู่การสะสมของไขมันในร่างกายและความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับโรคอ้วน

อาการของออฟฟิศซินโดรม

อาการของออฟฟิศซินโดรมอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล อย่างไรก็ตาม อาการที่พบบ่อย ได้แก่ ปวดคอ ปวดหลัง ปวดไหล่ และปวดศีรษะ นอกจากนี้ คุณอาจมีอาการปวดข้อมือ มือชา และกลุ่มอาการคาร์พัลทันเนล
นอกจากนี้ ออฟฟิศซินโดรมยังทำให้ปวดตา ตาพร่ามัว และตาแห้งอีกด้วย นอกจากนี้ คุณยังอาจรู้สึกเหนื่อยล้า เหนื่อยล้า และมีสมาธิลำบากอีกด้วย ในบางกรณี ออฟฟิศซินโดรมสามารถนำไปสู่ภาวะซึมเศร้า วิตกกังวล และปัญหาสุขภาพจิตอื่นๆ

 

 

Frozen shoulder หรือภาวะไหล่ติด

Frozen shoulder หรือภาวะไหล่ติด

ไหล่ติดเป็นภาวะที่มีการขยับข้อไหล่ได้น้อยลง โดยเริ่มจากน้อยๆเช่นไม่สามารถยกไหล่ได้สุดหรือไขว้หลังได้ไม่สุด หากไม่ทำการรักษาอาการจะเป็นมากขึ้นจนขยับได้น้อยลงกว่าเดิมหรือไม่ได้เลย


สาเหตุของข้อไหล่ติด

  • สาเหตุหลักคือการอักเสบของเนื้อเยื่อที่อยู่รอบข้อไหล่ ซึ่งเรียกว่า เยื่อหุ้มข้อไหล่ (Capsule) โดยปกติเยื่อหุ้มข้อไหล่จะค่อนข้างยืดหยุ่นและสามารถขยายหรือหดตัวตามการขยับของข้อไหล่ แต่เมื่อเกิดภาวะข้อไหล่ยึดติดขึ้น เยื่อหุ้มจะมีการอักเสบและหดตัวจนไม่สามารถยืดหยุ่นได้เหมือนเดิม ทำให้ขยับข้อไหล่ได้ลดน้อยลง และมีอาการปวดร่วมด้วยเสมอ
  • การบาดเจ็บที่ข้อไหล่ การกระแทก การขยับข้อไหล่เป็นเวลานาน การอักเสบของกล้ามเนื้อเอ็นรอบข้อไหล่ สามารถนำไปสู่การอักเสบของเยื่อหุ้มข้อไหล่ได้ทั้งสิ้น ซึ่งส่งผลทำให้ผู้ป่วยมีภาวะข้อไหล่ยึดติดในที่สุด

อาการข้อไหล่ติด

เกิดอาการปวดเจ็บตื้อๆ โดยอาการปวดจะเพิ่มขึ้นเมื่อมีการเคลื่อนไหว อาการเด่นชัดคือไม่สามารถขยับข้อไหล่ได้ มีอาการปวดเวลานอนทับ หรือเวลากลางคืน อาการของโรคมี 3 ระยะ ได้แก่

ระยะที่ 1 ระยะเจ็บปวด อาการปวดจะค่อยๆเพิ่มขึ้น อาจปวดแม้ไม่ได้ทำกิจกรรม ระยะนี้มักปวดนาน 6 สัปดาห์ – 9 เดือน มุมการเคลื่อนไหวของข้อไหล่ลดลง

ระยะที่ 2 ระยะข้อยึด อาการปวดระยะแรกยังคงอยู่ แต่จะปวดลดลง การเคลื่อนไหวของข้อไหล่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยทั่วไประยะนี้อาจนาน 4 – 9 เดือน หรือนานกว่านี้

ระยะที่ 3 ระยะฟื้นตัว อาการปวดจะลดลง และการเคลื่อนไหวข้อไหล่จะค่อยๆดีขึ้นในช่วง 5 เดือน – 2 ปี แต่อย่างไรก็ตามหากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ทำการรักษา บางรายอาจเกิดภาวะขยับแขนหรือข้อไหล่ไม่ได้อย่างถาวร จนต้องเข้ารับการผ่าตัดเพื่อแก้ไขปัญหา

 

การรักษาทางกายภาพบำบัดในผู้ป่วยข้อไหล่ติด

  • ซักประวัติ ตรวจร่ายกายอย่างละเอียด และวินิจฉัยโรคโดยนักกายภาพบำบัด
  • TECAR Therapy หรือการรักษาด้วยคลื่นวิทยุ เหนี่ยวนำให้เกิดความร้อนลึกลงไปยังกล้ามเนื้อและเยื่อหุ้มข้อไหล่ที่มีปัญหา เพื่อซ่อมแซมและคลายกล้ามเนื้อรอบข้อไหล่ที่แข็งเกร็ง อีกทั้งยังเพิ่มความยืดหยุ่นให้แก่เยื่อหุ้มข้อไหล่ชั้นลึกอีกด้วย ทำให้รู้สึกผ่อนคลายและลดอาการปวด
  • Mobilization หรือการดัดดึงข้อต่อ ยืดกล้ามเนื้อรอบข้อไหล่ เพื่อเพิ่มการเคลื่อนไหวของข้อไหล่ เพิ่มความยืดหยุ่นของเยื่อหุ้มข้อไหล่และกล้ามเนื้อบริเวณนั้น
  • Shockwave Therapy หรือการรักษาด้วยคลื่นกระแทก ช่วยคลายกล้ามเนื้อที่เกร็งตัวเป็นจุดกดเจ็บ ร่วมทั้งสลายพังผืด เพิ่มการไหลเวียนของเลือด เร่งกระบวนการซ่อมแซมของกล้ามเนื้อและเส้นเอ็น
  • High Power Laser Therapy หรือเครื่องเลเซอร์กำลังสูง สามารถลดอาการปวดอักเสบเฉียบพลัน กระตุ้นการซ่อมแซมเส้นเอ็นและเนื้อเยื่อ
  • การยืดกล้ามเนื้อ
  • การออกกำลังกายหรือท่าบริหารเฉพาะบุคคล
  • Home program (ยืดกล้ามเนื้อด้วยตนเอง+ออกกำลังกาย+ปรับพฤติกรรมและท่าทาง) เพื่อลดการบาดเจ็บของข้อไหล่ซ้ำๆ และเพิ่มองศาการเคลื่อนไหวของข้อไหล่

 

โรคหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อนกดทับเส้นประสาท

โรคโพรงกระดูกสันหลังตีบแคบ (Spinal Stenosis) และ โรคหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อนกดทับเส้นประสาท หรือ Herniated Nucleus Pulposus(HNP)

โรคโพรงกระดูกสันหลังตีบแคบ (Spinal Stenosis) เป็นโรคที่เกิดจากอาการเสื่อมของประดูกสันหลังหรือหมอนรองกระดูกสันหลัง ส่งผลให้เกิดพังผืดและกระดูกงอกทำให้โพรงเส้นประสาทแคบลง และบีบรัดบริเวณเส้นประสาทได้ มักพบอาการดังต่อไปนี้

-ปวดหลังร้าวลงสะโพกหรือขา

- มีอาการอ่อนแรงของขา

-มีอาการชาตาม ขาหรือเท้า

-อาการแย่ลงเมื่อเดินหรือยืนนานๆ หรือแอ่นหลังมากๆ

โรคหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อนกดทับเส้นประสาท หรือ Herniated Nucleus Pulposus(HNP)

โรคหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อน โรคที่เกิดจากการฉีกขาดของเยื้อหุ้มหมอนรองกระดูกสันหลังชั้นนอก ทำให้สารน้ำหรือส่วนไส้ชั้นในหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อนหรือปลิ้นออกมากดทับเส้นประสาทไขสันหลัง

อาการของโรคหมอนรองกระดูกเคลื่อนจะแตกต่างกันออกไปตามตำแหน่งของเส้นประสาทที่ถูกกด โดยมีอาการหลักๆ ดังนี้

-ปวดร้าวตามเส้นประสาท

-ปวดหลังส่วนล่าง

-ชาตามเส้นประสาทที่ถูกกดทับ

-อ่อนแรงตามเส้นประสาทที่ถูกกดทับ

-งอตัวลำบาก งอหลังได้ไม่สุด

-ปวดเมื่อทำกิจกรรม เช่น ออกแรง ไอ จาม เบ่ง

-ปวดมากเวลานั่งนายๆ เช่น นั่งขับรถ

ปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรค

  • อายุที่เพิ่มมากขึ้น
  • พฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น ยกของหนัก ยกของผิดท่า เดินเยอะ
  • การบาดเจ็บบริเวณกระดูกสันหลัง เช่น การเกิดอุบัติเหตุที่รุนแรง
  • เนื้องอกหรือมะเร็งที่โตจนไปเบียดช่องไขสันหลัง

การรักษาทางกายภาพบำบัด

สามารถรักษาทางกายภาพบำบัดได้เพื่อรักษาอาการให้ดีขึ้น หรือป้องกันไม่ให้เกิดความรุนแรงของโรคมากกว่าเดิม หรือในผู้ที่ไม่อยากผ่าตัด

การใช้เครื่องมือทางกายภาพบำบัด เช่น

การดึง หรือ Traction ช่วยยืดกล้ามเนื้อเพื่อคลายกล้ามเนื้อที่มีการเกร็งตัว ลดแรงกดที่ทำต่อข้อต่อของกระดูกคอหรือหลัง ลดการกดทับของเส้นประสาท โดยการดึงทำให้ช่องว่างระหว่างของกระดูกสันหลังกว้างขึ้น ลดแรงกดบนหมอนรองกระดูกสันหลังช่วยให้หมอนรองกระดูกกลับเข้าที่ได้ โดยทำให้ช่องว่างระหว่างกระดูกสันหลังกว้างขึ้น ส่งผลให้อาการปวดหรือชาลดลงได้

เครื่องกระตุ้นสนามแม่เหล็ก หรือ Peripheral Magnetic Stimulation (PMS) เครื่องกระตุ้นระบบประสาทด้วยการใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่สามารถกระตุ้นทะลุผ่านเสื้อผ้า ลงไปถึงเนื้อเยื่อและกระดูกได้ลึกประมาณ 10 ซม. คลื่นจาก PMS จะส่งคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ไปกระตุ้นที่เส้นประสาทโดยตรง มีการกระตุ้นเนื้อเยื่อบริเวณที่ปวด ทำให้เกิดการไหลเวียนโลหิตบริเวณกล้ามเนื้อดียิ่งขึ้น รวมถึงส่งสัญญาณคลื่นแม่เหล็กกระตุ้นแขน ขา บริเวณที่มีอาการชาหรืออ่อนแรง เร่งการฟื้นตัวของเส้นประสาทที่บาดเจ็บได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยรักษาอาการเจ็บปวด ได้ทั้งปวดเฉียบพลันและเรื้อรัง และยังมีกลไกการรักษาเป็นการกระตุ้นให้มีการซ่อมสร้างของเนื้อเยื่ออีกด้วย

2.Mobilization เป็นการเคลื่อนไหวข้อต่อโดยให้แรงที่เป็นจังหวะซ้ำๆในช่วงการเคลื่อนไหวของข้อต่อที่มีอาการติด หรือถูกจำกัดการเคลื่อนไหว จะใช้รักษาในกรณีที่ตรวจเจอว่ามีข้อติด (ดัดดึงข้อต่อ) หรือมีกล้ามเนื้อที่ต้องใช้มือช่วยคลายความตึง
3.การออกกำลังกายเฉพาะบุคคล เพื่อกระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อ เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว การยืดเหยียดกล้ามเนื้อ การบริหารเส้นประสาท
4.Home Program และการให้คำแนะนำต่างๆ โดยให้ท่าบริหารเฉพาะบุคคล และการแนะนำในการปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตต่างเพื่อป้องกันการเกิดความรุนแรงของโรคที่เพิ่มมากขึ้น

กายภาพบำบัด คือ?

กายภาพบำบัด

คืออาชีพด้านสุขภาพที่มุ่งเน้นในการปรับปรุงฟังก์ชันและการเคลื่อนไหวของร่างกาย ป้องกันการบาดเจ็บหรือความพิการ และบรรเทาอาการปวด โดยใช้เทคนิคการบำบัดต่าง ๆ เช่น การบำบัดด้วยการใช้มือ การออกกำลังกาย การให้การศึกษาและเทคนิคการบำบัดอื่น ๆ กายภาพบำบัดสามารถนำมาใช้รักษาโรคและอาการต่าง ๆ ที่มีผลต่อระบบกล้ามเนื้อและข้อต่อ รวมถึงระบบประสาท ระบบหัวใจ-หลอดเลือด และระบบทางเดินหายใจ

ผู้ประกอบการายภาพบำบัดทำงานร่วมกับผู้ที่มีอายุและศักยภาพต่าง ๆ ตั้งแต่ทารกไปจนถึงผู้สูงอายุ นักกีฬา พนักงานออฟฟิศ และบุคคลที่มีอาการบาดเจ็บเฉพาะ หรือมีโรคเรื้อรังต่าง ๆ พวกเขาอาจทำงานในสถานบริการต่าง ๆ เช่น โรงพยาบาล คลินิก ศูนย์ฟื้นฟู สนามกีฬา โรงเรียน และคลินิกส่วนตัว จุดมุ่งหมายของกายภาพบำบัดคือการช่วยให้ผู้ที่มาใช้บริการบรรลุศักยภาพสูงสุดในการเคลื่อนไหวและฟังก์ชัน ช่วยเสริมสร้างคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่ตนเองชื่นชอบได้ และเพิ่มคุณภาพชีวิตโดยรวม


 

กายภาพบำบัด มีการประเมิน วินิจฉัย และการรักษาผิดปกติของการเคลื่อนไหวและภาวะทางกายภาพ รวมถึงการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม นักกายภาพบำบัดใช้เทคนิคและเครื่องมือต่าง ๆ เช่น physical therapy modalities เช่น ความร้อน ความเย็น คลื่นกระแทก คลื่นอัลตร้าซาวด์ แสงเลเซอร์ และการกระตุ้นด้วยไฟฟ้า และอุปกรณ์ช่วยเหลือ เช่น ไม้เท้าและสายรัดต่างๆ

 

 

กระบวนการของ physical therapy ส่วนใหญ่จะเริ่มต้นด้วยการประเมิน ซึ่งในขณะนั้นนักกายภาพบำบัดจะประเมินการเคลื่อนไหว ความแข็งแกร่ง ระยะการเคลื่อนไหว และความสามารถในการทำงานได้ จากนั้นพัฒนาแผนการรักษาส่วนบุคคลที่อาจรวมถึงการออกกำลังกาย การยืดเหยียด การบำบัดด้วยมือ และการแก้ไขอื่น ๆ ที่ออกแบบมาเพื่อปรับปรุงการทำงาน ลดอาการเจ็บปวด และป้องกันการบาดเจ็บเพิ่มเติม

กายภาพบำบัดสามารถใช้รักษาโรคหลากหลายประเภทได้ รวมถึงการบาดเจ็บของระบบกล้ามเนื้อและโครงสร้างเช่นเปลือกไหล่และเกร็งของกล้ามเนื้อ อาการปวดหลังและคอ โรคข้อเข่าเสื่อม และการฟื้นฟูหลังผ่าตัด และยังสามารถใช้รักษาโรคทางประสาทเช่นโรคหลอดเลือดสมอง โรคลมชักและโรคพาร์กินสัน และโรคหัวใจปอด โรคเรื้อรังอุดกั้นทางเดินหายใจ (COPD) และภาวะหัวใจวาย โดยรวมแล้ว กายภาพบำบัดเป็นอาชีพที่สำคัญในระบบการดูแลสุขภาพ ช่วยให้บุคคลสามารถกู้คืนสภาพและความสามารถทางกายภาพได้ ช่วยปรับปรุงฟังก์ชันทางกายภาพ ลดอาการปวด และช่วยป้องกันการเกิดอันตรายต่อไปในอนาคต ทั้งนี้โดยการใช้เทคนิคและกลุ่มอื่น ๆ ของการรักษาเช่นการออกกำลังกายและการใช้อุปกรณ์ช่วยเหลือ เพื่อให้สามารถปรับปรุงสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วยได้ในที่สุด


Physical therapists (PTs)

ทำงานใกล้ชิดกับผู้ป่วยเพื่อให้มั่นใจว่าพวกเขากำลังก้าวไปสู่เป้าหมายของพวกเขา ปรับแผนการรักษาตามความจำเป็นและให้การศึกษาเกี่ยวกับการป้องกันการบาดเจ็บและกลยุทธ์การจัดการด้วยตนเอง พวกเขาอาจร่วมมือกับผู้ให้บริการด้านสุขภาพอื่นๆ เช่น แพทย์ นักบำบัดอาชีพ และนักพูดภาษา เพื่อให้การดูแลที่ครอบคลุม

นอกจากการรักษาผู้มีภาวะโรคที่มีอยู่แล้วแล้ว นักกายภาพบำบัดยังสามารถเล่นบทบาทสำคัญในการป้องกันการบาดเจ็บและส่งเสริมสุขภาพโดยรวมได้ พวกเขาอาจทำงานร่วมกับบุคคลเพื่อเพิ่มระดับการออกกำลังกายของพวกเขา พัฒนาโปรแกรมการออกกำลังกายที่ปลอดภัย และให้คำแนะนำเกี่ยวกับโภชนาการและนิพจน์การดูแลสุขภาพที่ดี

โดยรวมแล้ว กายภาพบำบัดเป็นอาชีพด้านสุขภาพที่หลากหลายและสำคัญ ซึ่งสามารถช่วยให้บุคคลทุกวัยและความสามารถได้รับประโยชน์ ผ่านการใช้เทคนิคและการแทนที่ที่หลากหลาย เพื่อเพิ่มฟังก์ชันทางกายภาพ บรรเทาความเจ็บปวด และปรับปรุงคุณภาพชีวิตโดยรวมของผู้ป่วยของพวกเขา

กายภาพบำบัดสามารถแบ่งออกเป็นหลายๆ สาขาได้ ซึ่งรวมถึง musculoskeletal therapy, neurological therapy, cardiovascular therapy, pain therapy และ pulmonary therapy ซึ่งเน้นการประเมินและการรักษาการเคลื่อนไหวและฟังก์ชันที่เกี่ยวข้องกับสภาวะที่มีผลต่อกล้ามเนื้อ กระดูก ข้อต่อ ประสาท สมอง ไขสันหลัง หัวใจ และปอด นอกจากนี้ กายภาพบำบัดยังสามารถมีการเชี่ยวชาญในพื้นที่ต่างๆ เช่น กายภาพบำบัดสำหรับกีฬา, กายภาพบำบัดสำหรับเด็ก, กายภาพบำบัดสำหรับผู้สูงอายุ, และสุขภาพของผู้หญิง ซึ่งจะมุ่งเน้นการปรับปรุงสุขภาพของกล้ามเนื้อ กระดูก และระบบเชิงพันธุกรรมของผู้ป่วยโดยเฉพาะ

Musculoskeletal therapy

เป็นส่วนหนึ่งของ Physical therapy ที่เน้นการประเมินและรักษาฟังก์ชันการเคลื่อนไหวและการทำงานของร่างกายที่เกี่ยวข้องกับสภาวะที่ส่งผลต่อกล้ามเนื้อ กระดูก ข้อต่อ และเนื้อเยื่ออื่นที่เกี่ยวข้อง ซึ่งสามารถปรับปรุงการเคลื่อนไหว ลดอาการปวด และเพิ่มคุณภาพชีวิตให้กับผู้ป่วยได้ โดยประกอบไปด้วยการใช้เทคนิคต่างๆ เช่น การออกกำลังกายที่เหมาะสม การจัดตำแหน่งและการดูแลรักษาเนื้อเยื่อ การใช้เครื่องมือช่วยเหลือ เช่น ครัช และบริเวณรอบข้อต่อ การแพทย์แผนไทย และการใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยเก็บรักษาฟังก์ชันการเคลื่อนไหวและคุณภาพชีวิตในระยะยาวได้ ซึ่งหลายครั้ง Musculoskeletal therapy ก็ถูกใช้ร่วมกับการรักษาอื่นๆ เช่น การฟื้นฟูหลังการผ่าตัดหรือการบาดเจ็บเป็นต้น

Neurological therapy

หมายถึงการบำบัดที่เน้นไปที่ระบบประสาทและสมอง เช่น การรักษาผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน (Parkinson’s disease) การกู้ฟื้นหลังเหตุการณ์เลือดออกในสมอง (stroke) และภาวะอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาท การบำบัดส่วนใหญ่จะเน้นไปที่การฝึกฝนและการประเมินฟังก์ชันการเคลื่อนไหว และการเพิ่มพลังและสมรรถภาพของระบบประสาทในการควบคุมการเคลื่อนไหว

การกายภาพบำบัดเชิงหัวใจหลอดเลือด (cardiovascular therapy)

เน้นการปรับปรุงระบบหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งมีเชิงกลไกทางกายภาพ ด้วยการออกกำลังกายที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของหัวใจ ลดความดันโลหิต ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของระบบหัวใจและหลอดเลือด การกายภาพบำบัดเชิงหัวใจหลอดเลือดอาจใช้เทคนิคต่าง ๆ เช่น การออกกำลังกายแบบเจาะจง การออกกำลังกายแบบแอโรบิกส์ (aerobics) หรือการใช้เครื่องจักรออกกำลังกาย (exercise equipment) เช่น treadmill, stationary bike เป็นต้น ซึ่งจะเหมาะสมกับผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจและหลอดเลือดผิดปกติ หรือมีความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือดในอนาคต โดยการกายภาพบำบัดเชิงหัวใจหลอดเลือดจะช่วยเสริมสร้างฟื้นฟูฟังก์ชันการทำงานของหัวใจและหลอดเลือด ลดอาการเหนื่อยหอบ ลดอาการปวดหัวใจ ปรับปรุงความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหัวใจ และลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดในอนาคต

Pain therapy

หรือ การรักษาอาการเจ็บปวดเป็นพื้นที่เฉพาะของกายภาพบำบัดที่เน้นการประเมินและการรักษาอาการเจ็บปวดในร่างกาย นักกายภาพบำบัดที่เชี่ยวชาญในการรักษาอาการเจ็บปวดจะใช้เทคนิคและการแทนที่ต่าง ๆ เพื่อช่วยให้บุคคลสามารถจัดการกับอาการเจ็บปวดได้ รวมถึงการบำบัดด้วยการนวดแบบมือ, การออกกำลังกายเพื่อบำบัด, อุปกรณ์ช่วยเหลือ เช่น ไม้เท้าและคางเท้า และเทคนิคการผ่อนคลาย จุดมุ่งหมายของ pain therapy คือการบรรเทาอาการปวดและปรับปรุงการทำงานให้ดียิ่งขึ้น ช่วยให้บุคคลสามารถเข้าร่วมกิจกรรมประจำวันได้อย่างไม่มีความรู้สึกไม่สบาย การรักษาอาการเจ็บปวดสามารถใช้ได้สำหรับการรักษาอาการเจ็บปวดเรื้อรัง อาการเจ็บปวดที่เกี่ยวกับการบาดเจ็บหรือการผ่าตัดกระดูกและกล้ามเนื้อ โดย pain therapy ยังสามารถรักษาอาการเจ็บปวดเฉพาะตำแหน่งในภาวะที่ต้องการการดูแลเฉพาะ เช่น อาการปวดคอหลัง อาการปวดกล้ามเนื้อ และอาการปวดเนื้อเยื่ออ่อนในส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย

Pulmonary therapy

หรือที่เรียกว่า respiratory therapy เป็นสาขาทางการกายภาพบำบัดที่เชี่ยวชาญในการประเมินและรักษาโรคที่มีผลต่อปอดและระบบทางเดินหายใจ นักกายภาพบำบัดที่เชี่ยวชาญในการดูแลผู้ป่วยที่มีภาวะทางเดินหายใจใช้เทคนิคและการแทนที่ต่าง ๆ เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยบรรเทาอาการหายใจได้ รวมถึงการฝึกหัดการหายใจ การล้างเสมหะในทางเดินหายใจ และเทคนิคการจัดการพลังงานในการทำกิจกรรมประจำวัน จุดมุ่งหมายของการบำบัดทางเดินหายใจคือการปรับปรุงฟังก์ชันของปอด ลดอาการหอบหายใจ และปรับปรุงคุณภาพชีวิตโดยรวมของผู้ป่วยที่มีโรคทางเดินหายใจ เช่น หอบหืด โรคถุงลมโป่งพองเรื้อรัง (COPD) โรคไตเต็มเนื้อ (cystic fibrosis) และมะเร็งปอด


 

ไหล่ติด รักษา

ไหล่ติด คืออะไร

ไหล่ติด (Frozen shoulder) คือ อาการที่เกิดจากการอักเสบหรือการทำลายเนื้อเยื่อบริเวณข้อไหล่ ทำให้เกิดการหดตัวของเนื้อเยื่อในข้อไหล่ และทำให้เกิดอาการปวดและคร่อมของข้อไหล่ โดยอาการที่พบได้แก่

  1. อาการปวดของไหล่ เฉพาะเวลาเคลื่อนไหว อาจมีการแผลงตัวในขณะที่พยุงน้ำหนักของแขน
  2. การติดของข้อไหล่ ทำให้การเคลื่อนไหวของไหล่ถูกจำกัด ลำบาก หรือหย่อนเหนื่อยขณะทำกิจกรรมเช่น ขู่เข่า ดันท่ายกกล้ามเนื้อของแขน เป็นต้น
  3. การแขนกระตุก (Clicking) หรือเสียงดัง (Popping) ขณะเคลื่อนไหวของไหล่
  4. อาการบวมและอาการแดงของไหล่

สาเหตุ

ของไหล่ติด (Frozen shoulder) ยังไม่เป็นที่ทราบอย่างแน่ชัด แต่โดยทั่วไปแล้ว มักเกิดจากการทำลายหรือการอักเสบของเนื้อเยื่อในข้อไหล่ ทำให้เกิดการหดตัวของเนื้อเยื่อและการเกิดนิวรอน (Scar tissue) ที่บริเวณข้อไหล่ ทำให้การเคลื่อนไหวของไหล่ถูกจำกัด และเกิดอาการปวดและคร่อมของข้อไหล่

นอกจากนี้ ยังมีบางปัจจัยที่เป็นปัจจัยเสี่ยงในการเกิดไหล่ติด เช่น

  1. คนที่มีโรคเบาหวาน หรือโรคไทรอยด์
  2. คนที่มีภาวะความดันโลหิตสูง
  3. คนที่มีการบาดเจ็บหรืออักเสบของข้อไหล่
  4. คนที่เคยมีไหล่ติดมาก่อน
  5. คนที่มีสภาพแข็งแรงของเนื้อเยื่อบริเวณข้อไหล่เกินไป เช่น คนที่ออกกำลังกายหนักเกินไป

การรักษาไหล่ติด (Frozen shoulder) จะขึ้นอยู่กับระยะของอาการและความรุนแรงของอาการ แต่โดยทั่วไปแล้ว การรักษาไหล่ติดจะประกอบไปด้วย

  1. การดูแลเองที่บ้าน: ควรเคลื่อนไหล่อย่างช้า ๆ เพื่อลดอาการปวด ใช้ผ้าห่อไหล่เพื่อรักษาความอบอุ่น และเลือกทำการกำจัดนิวรอนในการทำกิจกรรมที่ไม่ต้องใช้การเคลื่อนไหล่เยอะ ๆ
  2. การบริหารกล้ามเนื้อและเตรียมตัวก่อนทำกิจกรรม: การบริหารกล้ามเนื้อต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับไหล่ สามารถช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ นอกจากนี้ การประกอบกิจกรรมก่อนที่จะเริ่มใช้ไหล่อย่างหนักๆ สามารถช่วยให้ไหล่แข็งแรงและคล้องตัวก่อนเริ่มทำกิจกรรม
  3. การใช้ยา: แพทย์อาจสั่งยาแก้ปวดและยาต้านการอักเสบเพื่อช่วยลดอาการปวดและอักเสบบริเวณไหล่
  4. การฝังเข็ม: การฝังเข็ม (Acupuncture) เป็นวิธีการรักษาไหล่ติดที่ใช้งานได้ดี โดยการฝังเข็มจะช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือด และช่วยให้กล้ามเนื้อหลังหย่อนลง
  5. การผ่าตัด: ถ้าอาการไหล่ติดรุนแรงและไม่ประสบความดีขึ้นจากการรักษาอื่นๆ แพทย์อาจต้องพิจารณาการผ่าตัด เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาที่รุนแรงขึ้น
  6. การกายภาพบำบัด (physical therapy) เป็นวิธีการรักษาไหล่ติดที่มีประสิทธิภาพมากๆ โดยผู้ป่วยจะได้รับการประเมินสภาพร่างกาย และได้รับการออกแบบรายการกายภาพบำบัดที่เหมาะสมกับอาการของเขาเพื่อช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของไหล่และลดอาการปวด
    1. การยืดเส้นเอียง (Diagonal Stretch): เป็นการยืดกล้ามเนื้อและเส้นเอียงของไหล่และเอว โดยใช้เครื่องมือหรือโดยการทำกิจกรรมได้เอง
    2. การยืดกล้ามเนื้อส่วนหลัง (Back Stretch): การยืดกล้ามเนื้อส่วนหลังจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของไหล่ และช่วยลดความตึงของกล้ามเนื้อหลัง
    3. การปรับสมดุลกล้ามเนื้อ (Muscle Balancing): เป็นการเสริมกล้ามเนื้อและลดความตึงของกล้ามเนื้อที่อ่อนแอ เพื่อช่วยเพิ่มความเสถียรของไหล่
    4. การฝึกแรงกล้ามเนื้อ (Strength Training): เป็นการฝึกกล้ามเนื้อเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของไหล่และป้องกันการบาดเจ็บซ้ำ
    5. การฝึกการหมุนไหล่ (Rotator Cuff Strengthening): เป็นการฝึกกล้ามเนื้อในส่วนของ Rotator Cuff เพื่อช่วยเสริมและป้องกันการบาดเจ็บ
    6. การใช้เครื่องมือช่วย (Assistive Devices)
    7. การกระตุ้นกล้ามเนื้อด้วยไฟฟ้า (Electrical Stimulation): เป็นการใช้กระแสไฟฟ้าเพื่อช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและลดอาการปวด
    8. การใช้เทปกาว (Kinesiology Tape): เทปกาวช่วยเสริมและรักษาไหล่โดยใช้การปรับและแก้ไขการทำงานของกล้ามเนื้อและเส้นเอียง
    9. การออกกำลังกายแบบโยคะ (Yoga): โยคะเป็นการออกกำลังกายที่เน้นการยืดเส้นเอียงและเพิ่มความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ ซึ่งจะช่วยลดความตึงของไหล่
    10. การพักผ่อนและรักษาสมาธิ (Meditation): การพักผ่อนและรักษาสมาธิช่วยลดความเครียดและความตึงของไหล่

 

ปวดหลังช่วงเอว

ปวดหลังช่วงเอว เกิดจากอะไร แก้ไขยังไงดี

การปวดหลังช่วงเอวสามารถมีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย เช่น อาการผิดปกติของกล้ามเนื้อ โรคข้อต่อ แผลบวม อักเสบ และอาการที่เกิดขึ้นจากการใช้กล้ามเนื้อมากเกินไป หรือน้ำหนักที่หนักเกินไป

การแก้ไขปัญหาของการปวดหลังช่วงเอว ทำได้หลายวิธี คือ

  1. การดูแลตนเอง

  • ควรทำการออกกำลังกายแบบเบาๆ เช่น เดินเร็ว วิ่งเล่น หรือว่ายน้ำ เพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อส่วนล่างของร่างกาย และช่วยลดอาการปวดหลังช่วงเอวได้
  • ควรปรับเปลี่ยนท่านั่งของเราเมื่อทำงานนาน ๆ เพื่อลดการเอียงศีรษะลงมาด้านหน้า ซึ่งอาจเป็นสาเหตุของการปวดหลังช่วงเอวได้
  • ใช้ท่าแบบยืดเหยียดกล้ามเนื้อช่วงเอว เช่น การเอียงลำตัวไปด้านซ้ายและขวา โดยค่อยๆ เพิ่มระดับยืดเหยียดไปเรื่อยๆ โดยใช้เวลาประมาณ 5-10 นาทีต่อวัน
  1. การรักษาแบบเฉพาะกิจ

  • ใช้น้ำร้อนหรือน้ำเย็นบนบริเวณที่ปวด เพื่อช่วยลดอาการปวด
  • ใช้ยาแก้ปวดพาราเซตามอลหรืออะซิโคดอน โดยการปรึกษาแพทย์ก่อนการใช้ยาเป็นสิ่งสำคัญ
  1. การได้รับการรักษาจากแพทย์

  • หากการปวดหลังช่วงเอวไม่ดีขึ้นจากการดูแลตนเองหรือการรักษาแบบเฉพาะกิจ ควรได้รับการตรวจวินิจฉัยจากแพทย์ เพื่อวินิจฉัยสาเหตุของการปวดหลังช่วงเอว และตัดสินใจในการรักษาต่อไป
  • การรักษาอาจจะประกอบไปด้วยการฝังเข็ม การฟื้นฟูกล้ามเนื้อ การนวด กายภาพบำบัด หรือการผ่าตัด ขึ้นอยู่กับสาเหตุของการปวดหลังช่วงเอว
  1. การใช้เครื่องช่วยสำหรับการปวดหลังช่วงเอว

  • สำหรับบางคนที่มีอาการปวดหลังช่วงเอวเฉียบพลันและรุนแรงมาก อาจจะต้องใช้เครื่องช่วยสำหรับการปวดหลัง เช่น TENS (Transcutaneous electrical nerve stimulation) หรือเครื่องส่งสัญญาณไฟฟ้าที่ต่อไปยังผิวหนัง เพื่อช่วยบรรเทาอาการปวด หรือเครื่องออกกำลังกายในน้ำ (hydrotherapy) ซึ่งจะช่วยลดน้ำหนักของร่างกายและลดแรงกดที่เกิดกับกระดูกและข้อต่อ
  1. การป้องกันการปวดหลังช่วงเอวในอนาคต

  • เพื่อป้องกันการเกิดการปวดหลังช่วงเอวในอนาคต ควรรักษาสุขภาพร่างกายอย่างเหมาะสม รวมถึงการออกกำลังกายสม่ำเสมอ รับประทานอาหารที่มีสารอาหารครบถ้วน และหลีกเลี่ยงการยืนหรือนั่งเพียงแค่นานเกินไป หรือการทำงานที่ต้องยืนหรือนั่งเป็นเวลานานๆ โดยควรมีการพักผ่อนอย่างเพียงพอเพื่อลดความเครียดในส่วนหลังของร่างกาย และอย่าลืมใส่รองเท้าที่สะดวกสบายและรองเท้าที่มีความรอบรู้เทคโนโลยีสำหรับการสนับสนุนกระดูกและข้อต่อของเท้า

อย่าลืมว่าการดูแลสุขภาพร่างกายโดยเป็นระยะเวลานานจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดการปวดหลังช่วงเอวได้ ดังนั้นควรมีการออกกำลังกายสม่ำเสมอ รับประทานอาหารที่มีสารอาหารครบถ้วน และมีการพักผ่อนและนอนหลับอย่างเพียงพอเพื่อสุขภาพร่างกายที่ดีที่สุด