คลินิกกายภาพบำบัด บางพลัด MRT สิรินธร

อันตรายที่แฝงมากับรองเท้าส้นสูง

อันตรายที่แฝงมากับรองเท้าส้นสูง

ปัจจุบันแฟชั่นการแต่งตัวให้ดูดีเป็นสิ่งสำคัญ สาวๆในยุคสมัยนี้ให้ความสำคัญกับบุคลิกการแต่งตัวเป็นอันดับต้นๆ ก่อนออกจากบ้านต้องดูดี ซึ่งขาดไม่ได้เลยคือรองเท้าส้นสูงคู่ใจของใครหลายๆคน ที่จะเพิ่มความมั่นใจ รูปลักษณ์ให้ดูดีดูสง่า ซึ่งลืมไปว่าการสวมรองเท้าที่ดีและถูกต้องนั้นก็สำคัญเช่นกัน หากสวมรองเท้าส้นสูงทุกๆวันเป็นระยะเวลานานๆ อาจจะส่งผลกระทบต่อร่างกายของเราโดยที่ไม่รู้ตัว

 

ข้อเสีย

1.ปวดเท้า การสวมรองเท้าส้นสูงทำให้ทรงตัวลำบาก ลำตัวโน้มไปด้านหน้าส่งผลให้กระดูกเท้าต้องรับน้ำหนัก หากถูกบีบรัดจนเกินไปอาจส่งผลให้กระดูกและเส้นประสาทบริเวณฝ่าเท้าเกิดการอักเสบได้

2.ปวดน่องเอ็นร้อยหวายตึง ในการสวมใส่รองเท้าเหมือนเป็นการยืนเขย่าตลอดเวลาจึงส่งผลให้บริเวณที่เป็นเอ็นร้อยหวายนั้นตึง เป็นสาเหตุที่ทำให้ปวดน่อง หรือเป็นตะคริว

3.ปวดเข่า เสี่ยงเป็นโรคเข่าเสื่อมการเดินบนส้นสูงนั้นจะเกิดแรงกระแทกที่บริเวณข้อเข่า เข่าเป็นกระดูกข้อต่อที่ใหญ่ที่สุด ทำให้การรองรับความตึงเป็นระยะเวลานานนั้นอาจจะทำให้น้ำในไขข้อกระดูกลดลงจนเกิดเป็นรอยแตกทำให้ข้อเข่าเสื่อมและเสี่ยงต่อการเป็นโรคกระดุกพรุนได้

4.ปวดหลัง การใส่ส้นสูงทำให้ช่วงลำตัวแอ่นไปด้านหน้า ซึ่งกระดูกสันหลังจะคดเป็นรูปตัว S หากเป็นในระยะเวลานานๆ ก็จะมีปัญหาปวดหลังตามมา

5.อุบัติเหตุ การสวมรองเท้าส้นสุงนั้นมีโอกาสทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย เพราะต้องทรงตัวยืนบนรองเท้าที่มีความมั่นคงไม่แข็งแรง หากพื้นทางเดินขรุขระอาจะทำให้สะดุดหกล้มหรือข้อเท้าพลิกได้

6.โครงสร้างเท้าผิดรูป การใส่รองเท้าส้นสูงที่บีบรัดแน่นเท้า เช่น รองเท้าที่มีหัวแคบ เป็นสายรัดหน้าเท้าของเราหากใส่เป็นเวลานานๆ กระดูกนิ้วเท้าที่โดนบีบรัดเป็นเวลานานก็จะทำให้ผิดรูปได้

 

กายภาพบำบัด คือ?

กายภาพบำบัด

คืออาชีพด้านสุขภาพที่มุ่งเน้นในการปรับปรุงฟังก์ชันและการเคลื่อนไหวของร่างกาย ป้องกันการบาดเจ็บหรือความพิการ และบรรเทาอาการปวด โดยใช้เทคนิคการบำบัดต่าง ๆ เช่น การบำบัดด้วยการใช้มือ การออกกำลังกาย การให้การศึกษาและเทคนิคการบำบัดอื่น ๆ กายภาพบำบัดสามารถนำมาใช้รักษาโรคและอาการต่าง ๆ ที่มีผลต่อระบบกล้ามเนื้อและข้อต่อ รวมถึงระบบประสาท ระบบหัวใจ-หลอดเลือด และระบบทางเดินหายใจ

ผู้ประกอบการายภาพบำบัดทำงานร่วมกับผู้ที่มีอายุและศักยภาพต่าง ๆ ตั้งแต่ทารกไปจนถึงผู้สูงอายุ นักกีฬา พนักงานออฟฟิศ และบุคคลที่มีอาการบาดเจ็บเฉพาะ หรือมีโรคเรื้อรังต่าง ๆ พวกเขาอาจทำงานในสถานบริการต่าง ๆ เช่น โรงพยาบาล คลินิก ศูนย์ฟื้นฟู สนามกีฬา โรงเรียน และคลินิกส่วนตัว จุดมุ่งหมายของกายภาพบำบัดคือการช่วยให้ผู้ที่มาใช้บริการบรรลุศักยภาพสูงสุดในการเคลื่อนไหวและฟังก์ชัน ช่วยเสริมสร้างคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่ตนเองชื่นชอบได้ และเพิ่มคุณภาพชีวิตโดยรวม


 

กายภาพบำบัด มีการประเมิน วินิจฉัย และการรักษาผิดปกติของการเคลื่อนไหวและภาวะทางกายภาพ รวมถึงการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม นักกายภาพบำบัดใช้เทคนิคและเครื่องมือต่าง ๆ เช่น physical therapy modalities เช่น ความร้อน ความเย็น คลื่นกระแทก คลื่นอัลตร้าซาวด์ แสงเลเซอร์ และการกระตุ้นด้วยไฟฟ้า และอุปกรณ์ช่วยเหลือ เช่น ไม้เท้าและสายรัดต่างๆ

 

 

กระบวนการของ physical therapy ส่วนใหญ่จะเริ่มต้นด้วยการประเมิน ซึ่งในขณะนั้นนักกายภาพบำบัดจะประเมินการเคลื่อนไหว ความแข็งแกร่ง ระยะการเคลื่อนไหว และความสามารถในการทำงานได้ จากนั้นพัฒนาแผนการรักษาส่วนบุคคลที่อาจรวมถึงการออกกำลังกาย การยืดเหยียด การบำบัดด้วยมือ และการแก้ไขอื่น ๆ ที่ออกแบบมาเพื่อปรับปรุงการทำงาน ลดอาการเจ็บปวด และป้องกันการบาดเจ็บเพิ่มเติม

กายภาพบำบัดสามารถใช้รักษาโรคหลากหลายประเภทได้ รวมถึงการบาดเจ็บของระบบกล้ามเนื้อและโครงสร้างเช่นเปลือกไหล่และเกร็งของกล้ามเนื้อ อาการปวดหลังและคอ โรคข้อเข่าเสื่อม และการฟื้นฟูหลังผ่าตัด และยังสามารถใช้รักษาโรคทางประสาทเช่นโรคหลอดเลือดสมอง โรคลมชักและโรคพาร์กินสัน และโรคหัวใจปอด โรคเรื้อรังอุดกั้นทางเดินหายใจ (COPD) และภาวะหัวใจวาย โดยรวมแล้ว กายภาพบำบัดเป็นอาชีพที่สำคัญในระบบการดูแลสุขภาพ ช่วยให้บุคคลสามารถกู้คืนสภาพและความสามารถทางกายภาพได้ ช่วยปรับปรุงฟังก์ชันทางกายภาพ ลดอาการปวด และช่วยป้องกันการเกิดอันตรายต่อไปในอนาคต ทั้งนี้โดยการใช้เทคนิคและกลุ่มอื่น ๆ ของการรักษาเช่นการออกกำลังกายและการใช้อุปกรณ์ช่วยเหลือ เพื่อให้สามารถปรับปรุงสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วยได้ในที่สุด


Physical therapists (PTs)

ทำงานใกล้ชิดกับผู้ป่วยเพื่อให้มั่นใจว่าพวกเขากำลังก้าวไปสู่เป้าหมายของพวกเขา ปรับแผนการรักษาตามความจำเป็นและให้การศึกษาเกี่ยวกับการป้องกันการบาดเจ็บและกลยุทธ์การจัดการด้วยตนเอง พวกเขาอาจร่วมมือกับผู้ให้บริการด้านสุขภาพอื่นๆ เช่น แพทย์ นักบำบัดอาชีพ และนักพูดภาษา เพื่อให้การดูแลที่ครอบคลุม

นอกจากการรักษาผู้มีภาวะโรคที่มีอยู่แล้วแล้ว นักกายภาพบำบัดยังสามารถเล่นบทบาทสำคัญในการป้องกันการบาดเจ็บและส่งเสริมสุขภาพโดยรวมได้ พวกเขาอาจทำงานร่วมกับบุคคลเพื่อเพิ่มระดับการออกกำลังกายของพวกเขา พัฒนาโปรแกรมการออกกำลังกายที่ปลอดภัย และให้คำแนะนำเกี่ยวกับโภชนาการและนิพจน์การดูแลสุขภาพที่ดี

โดยรวมแล้ว กายภาพบำบัดเป็นอาชีพด้านสุขภาพที่หลากหลายและสำคัญ ซึ่งสามารถช่วยให้บุคคลทุกวัยและความสามารถได้รับประโยชน์ ผ่านการใช้เทคนิคและการแทนที่ที่หลากหลาย เพื่อเพิ่มฟังก์ชันทางกายภาพ บรรเทาความเจ็บปวด และปรับปรุงคุณภาพชีวิตโดยรวมของผู้ป่วยของพวกเขา

กายภาพบำบัดสามารถแบ่งออกเป็นหลายๆ สาขาได้ ซึ่งรวมถึง musculoskeletal therapy, neurological therapy, cardiovascular therapy, pain therapy และ pulmonary therapy ซึ่งเน้นการประเมินและการรักษาการเคลื่อนไหวและฟังก์ชันที่เกี่ยวข้องกับสภาวะที่มีผลต่อกล้ามเนื้อ กระดูก ข้อต่อ ประสาท สมอง ไขสันหลัง หัวใจ และปอด นอกจากนี้ กายภาพบำบัดยังสามารถมีการเชี่ยวชาญในพื้นที่ต่างๆ เช่น กายภาพบำบัดสำหรับกีฬา, กายภาพบำบัดสำหรับเด็ก, กายภาพบำบัดสำหรับผู้สูงอายุ, และสุขภาพของผู้หญิง ซึ่งจะมุ่งเน้นการปรับปรุงสุขภาพของกล้ามเนื้อ กระดูก และระบบเชิงพันธุกรรมของผู้ป่วยโดยเฉพาะ

Musculoskeletal therapy

เป็นส่วนหนึ่งของ Physical therapy ที่เน้นการประเมินและรักษาฟังก์ชันการเคลื่อนไหวและการทำงานของร่างกายที่เกี่ยวข้องกับสภาวะที่ส่งผลต่อกล้ามเนื้อ กระดูก ข้อต่อ และเนื้อเยื่ออื่นที่เกี่ยวข้อง ซึ่งสามารถปรับปรุงการเคลื่อนไหว ลดอาการปวด และเพิ่มคุณภาพชีวิตให้กับผู้ป่วยได้ โดยประกอบไปด้วยการใช้เทคนิคต่างๆ เช่น การออกกำลังกายที่เหมาะสม การจัดตำแหน่งและการดูแลรักษาเนื้อเยื่อ การใช้เครื่องมือช่วยเหลือ เช่น ครัช และบริเวณรอบข้อต่อ การแพทย์แผนไทย และการใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยเก็บรักษาฟังก์ชันการเคลื่อนไหวและคุณภาพชีวิตในระยะยาวได้ ซึ่งหลายครั้ง Musculoskeletal therapy ก็ถูกใช้ร่วมกับการรักษาอื่นๆ เช่น การฟื้นฟูหลังการผ่าตัดหรือการบาดเจ็บเป็นต้น

Neurological therapy

หมายถึงการบำบัดที่เน้นไปที่ระบบประสาทและสมอง เช่น การรักษาผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน (Parkinson’s disease) การกู้ฟื้นหลังเหตุการณ์เลือดออกในสมอง (stroke) และภาวะอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาท การบำบัดส่วนใหญ่จะเน้นไปที่การฝึกฝนและการประเมินฟังก์ชันการเคลื่อนไหว และการเพิ่มพลังและสมรรถภาพของระบบประสาทในการควบคุมการเคลื่อนไหว

การกายภาพบำบัดเชิงหัวใจหลอดเลือด (cardiovascular therapy)

เน้นการปรับปรุงระบบหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งมีเชิงกลไกทางกายภาพ ด้วยการออกกำลังกายที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของหัวใจ ลดความดันโลหิต ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของระบบหัวใจและหลอดเลือด การกายภาพบำบัดเชิงหัวใจหลอดเลือดอาจใช้เทคนิคต่าง ๆ เช่น การออกกำลังกายแบบเจาะจง การออกกำลังกายแบบแอโรบิกส์ (aerobics) หรือการใช้เครื่องจักรออกกำลังกาย (exercise equipment) เช่น treadmill, stationary bike เป็นต้น ซึ่งจะเหมาะสมกับผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจและหลอดเลือดผิดปกติ หรือมีความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือดในอนาคต โดยการกายภาพบำบัดเชิงหัวใจหลอดเลือดจะช่วยเสริมสร้างฟื้นฟูฟังก์ชันการทำงานของหัวใจและหลอดเลือด ลดอาการเหนื่อยหอบ ลดอาการปวดหัวใจ ปรับปรุงความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหัวใจ และลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดในอนาคต

Pain therapy

หรือ การรักษาอาการเจ็บปวดเป็นพื้นที่เฉพาะของกายภาพบำบัดที่เน้นการประเมินและการรักษาอาการเจ็บปวดในร่างกาย นักกายภาพบำบัดที่เชี่ยวชาญในการรักษาอาการเจ็บปวดจะใช้เทคนิคและการแทนที่ต่าง ๆ เพื่อช่วยให้บุคคลสามารถจัดการกับอาการเจ็บปวดได้ รวมถึงการบำบัดด้วยการนวดแบบมือ, การออกกำลังกายเพื่อบำบัด, อุปกรณ์ช่วยเหลือ เช่น ไม้เท้าและคางเท้า และเทคนิคการผ่อนคลาย จุดมุ่งหมายของ pain therapy คือการบรรเทาอาการปวดและปรับปรุงการทำงานให้ดียิ่งขึ้น ช่วยให้บุคคลสามารถเข้าร่วมกิจกรรมประจำวันได้อย่างไม่มีความรู้สึกไม่สบาย การรักษาอาการเจ็บปวดสามารถใช้ได้สำหรับการรักษาอาการเจ็บปวดเรื้อรัง อาการเจ็บปวดที่เกี่ยวกับการบาดเจ็บหรือการผ่าตัดกระดูกและกล้ามเนื้อ โดย pain therapy ยังสามารถรักษาอาการเจ็บปวดเฉพาะตำแหน่งในภาวะที่ต้องการการดูแลเฉพาะ เช่น อาการปวดคอหลัง อาการปวดกล้ามเนื้อ และอาการปวดเนื้อเยื่ออ่อนในส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย

Pulmonary therapy

หรือที่เรียกว่า respiratory therapy เป็นสาขาทางการกายภาพบำบัดที่เชี่ยวชาญในการประเมินและรักษาโรคที่มีผลต่อปอดและระบบทางเดินหายใจ นักกายภาพบำบัดที่เชี่ยวชาญในการดูแลผู้ป่วยที่มีภาวะทางเดินหายใจใช้เทคนิคและการแทนที่ต่าง ๆ เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยบรรเทาอาการหายใจได้ รวมถึงการฝึกหัดการหายใจ การล้างเสมหะในทางเดินหายใจ และเทคนิคการจัดการพลังงานในการทำกิจกรรมประจำวัน จุดมุ่งหมายของการบำบัดทางเดินหายใจคือการปรับปรุงฟังก์ชันของปอด ลดอาการหอบหายใจ และปรับปรุงคุณภาพชีวิตโดยรวมของผู้ป่วยที่มีโรคทางเดินหายใจ เช่น หอบหืด โรคถุงลมโป่งพองเรื้อรัง (COPD) โรคไตเต็มเนื้อ (cystic fibrosis) และมะเร็งปอด


 

การยืดออกกำลังกายแก้ปวดหลัง

 

การยืดเป็นท่าออกกำลังกายที่มีประโยชน์ในการบรรเทาอาการปวดหลังได้ดีเนื่องจากช่วยเหยียดเส้นเอ็นทรัพย์ ลดความตึงของกล้ามเนื้อและเพิ่มความเชื่อมั่นในร่างกาย นี่คือวิธีที่คุณสามารถทำได้

  1. ยืดหลังด้านบน (Upper back stretch)
  • นั่งตัวตรง ให้มือขวาเหยียดตรงไปข้างหน้า จากนั้นหันหัวไปทางขวาและเอาศอกซ้ายวางไว้บนเข่าข้างซ้าย
  • เอามือซ้ายไปจับข้อศอกข้างขวา และดันไปทางขวาลงจนกระทั่งคุณรู้สึกเหยียดเส้นเอ็นทรัพย์ ค้างไว้สัก 15-30 วินาที แล้วเปลี่ยนข้าง
  1. ยืดส่วนล่างของหลัง (Lower back stretch)
  • นั่งตัวตรง ให้เหยียดขาขึ้น แล้วยกขาขึ้นไปที่มุม 90 องศา
  • เอามือซ้ายวางไว้บนเข่าข้างซ้าย และใช้มือขวาบีบเอาเข่าข้างซ้ายเข้าหาลำตัว
  • ค้างไว้สัก 15-30 วินาที แล้วเปลี่ยนข้าง
  1. ยืดส่วนกลางของหลัง (Mid-back stretch)
  • นั่งตัวตรง ให้งอเข่าและวางเท้าไว้บนพื้น
  • เอามือไปจับเข่าทั้งสองข้าง และดันไปด้านหลังจนกระทั่งคุณรู้สึกเหยียดเส้นเอ็นทรัพย์
  • ค้างไว้สัก 15-30 วินาที

อาการไหล่ติด วิธีบริหาร และการรักษา

ไหล่ติดหรือ Frozen shoulder เป็นภาวะที่เกิดจากการอักเสบของเนื้อเยื่อที่อยู่รอบติดต่อกับข้อไหล่ เช่น กล้ามเนื้อ ถุงลมไหล่ และเกล็ดกระดูก สาเหตุของภาวะนี้ยังไม่เป็นที่ทราบอย่างแน่ชัด แต่มักเกิดจากการบาดเจ็บ อักเสบ หรือการใช้แขนหรือไหล่ในลักษณะที่ซ้ำซาก เช่น การทำงานที่ต้องสลับมือหรืองานที่ต้องใช้แขนหรือไหล่ในระยะยาวๆ โรคเบาหวาน และภูมิคุ้มกันบกพร่องก็เป็นสาเหตุของการเกิดภาวะนี้ได้

อาการของ Frozen shoulder ประกอบด้วย ปวดไหล่ ติดขัด หรือแขนไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ การวินิจฉัยการติดไหล่จะต้องพิจารณาจากอาการที่ผู้ป่วยเล่า รวมถึงการตรวจสอบจากแพทย์ ด้วยการวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของไหล่ และการทำภาพเอกซเรย์ หรือการใช้ MRI เพื่อวินิจฉัยขนาดของเนื้อเยื่อที่อยู่รอบติดต่อกับข้อไหล่

อาการของ Frozen shoulder ประกอบด้วย 3 ระยะ คือ

  1. ระยะแรก (ระยะอักเสบ) - ปวดไหล่เฉียบพลัน แขนเสียว และเลือดไหลออกมากขึ้น
  2. ระยะกลาง (ระยะติด) - แขนและไหล่หย่อน ไหล่ขยับได้น้อยลง ปวดเมื่อเคลื่อนไหว
  3. ระยะสุดท้าย (ระยะฟื้นตัว) - เริ่มเคลื่อนไหวได้มากขึ้น แต่ยังมีความจำกัด ปวดเมื่อเคลื่อนไหว

วิธีการรักษาโรคไหล่ติด (frozen shoulder) เนื่องจากเป็นภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อรอบข้อไหล่หดตัวและกดข้อไหล่เข้าด้วยกัน ทำให้เกิดอาการปวดและข้อไหล่หมุนหรือยกแขนไม่ได้ โรคนี้ไม่มีวิธีรักษาที่รวดเร็ว แต่มีขั้นตอนการรักษาตามด้านล่างนี้ที่สามารถช่วยบรรเทาอาการได้:

  1. การออกกำลังกาย: ออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อรอบข้อไหล่และปรับปรุงการหมุนและยกแขน คุณควรปฏิบัติการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและหยุดทันทีหากมีอาการปวด
  2. การฟื้นฟูและกายภาพบำบัด: การฝึกซ้อมและกายภาพบำบัดเพื่อช่วยเพิ่มการเคลื่อนไหวและลดอาการปวด การฝึกซ้อมที่แนะนำสำหรับโรคไหล่ติดรวมถึงการเหยียดตัว, การยกแขนที่ต่างกัน, การหมุนและการดันแขนขึ้น-ลง
  3. การใช้ยาและการฉีดสาร: สารแค็ปซูลไขมันอิ่มตัว (capsaicin) หรือสารสลายน้ำตาล (corticosteroid) อาจช่วยลดอาการปวดและอักเสบ อย่างไรก็ตาม การใช้ยาหรือการฉีดสารนี้อาจมีผลข้างเคียงบางอย่าง
  4. การผ่าตัด: กรณีที่รักษาด้วยวิธีอื่นไม่ได้ผล หรืออาการแย่ลง อาจต้องพิจารณาใช้วิธีการนี้ และอาจเป็นวิธีการสุดท้ายในการรักษา

 

กายภาพบำบัดเป็นอีกหนึ่งวิธีรักษาโรคไหล่ติด (frozen shoulder) ที่ได้รับการแนะนำอย่างกว้างขวาง ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อรอบข้อไหล่ ช่วยลดอาการปวดและเพิ่มการเคลื่อนไหวของข้อไหล่

กายภาพบำบัดสำหรับโรคไหล่ติดสามารถประกอบด้วยกิจกรรมต่างๆ ดังนี้

  1. การฟื้นฟูกล้ามเนื้อ: ปฏิบัติการฝึกซ้อมกล้ามเนื้อเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อรอบข้อไหล่ การฝึกซ้อมในรูปแบบการยืดและการกระตุ้นเส้นประสาทสามารถช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของข้อไหล่ได้
  2. การบริหารกล้ามเนื้อ: การฝึกซ้อมกล้ามเนื้อโดยเฉพาะในบริเวณไหล่ เช่น การยกแขนขึ้น-ลง การหมุนแขน หรือการดันแขนขึ้น-ลง เป็นต้น
  3. การกายภาพบำบัด: ปฏิบัติการกายภาพบำบัดโดยมีผู้ช่วยฝึกซ้อม อาจประกอบด้วยการอบรมเทคนิคการฝึกซ้อม การบริหารจัดการอาการปวด การใช้วิธีรักษาอื่นๆ เช่น การใช้แค็ปซูลไขมันอิ่มตัว (capsaicin) หรือสารสลายน้ำตาล (corticosteroid) อาการไหล่ติดสามารถใช้เครื่องมือให้การรักษาทางกายภาพ เช่น TECAR Therapy พร้อมกับการ Mobilization Technique เพื่อยืด และสร้างองศาการขยับข้อต่อได้เพิ่มมากขึ้น
  4. การนวด: การนวดเพื่อช่วยปรับปรุงการไหลเวียนเลือดและระบบลมหายใจ ที่ส่วนขอ

อาการ หมอนรองกระดูทับเส้นประสาท

Diagram showing pinched nerve in human illustration

โรคหมอนรองกระดูกกดทับเส้นประสาท (herniated disc, pinched nerve) มักจะมีอาการต่างๆ ขึ้นอยู่กับสาเหตุและที่ตั้งของการกดทับเส้นประสาท อาการที่พบบ่อยสุดคือ ปวดเมื่อเคลื่อนไหวหรือกดทับบริเวณที่เป็นปัญหา อาจมีอาการเสียวหรือชาบริเวณนั้น และมีผู้ป่วยบางรายที่มีอาการชามากขึ้นเมื่อนอนหรือนั่งเป็นเวลานาน

นอกจากนี้ อาการอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้แก่

  1. ชาในระบบประสาท: รู้สึกว่ามีไฟฟ้ากระพริบขึ้นมาในบริเวณที่กดทับเส้นประสาท รวมถึงอาจมีอาการชาบริเวณที่เป็นปัญหาเป็นเวลานาน
  2. อ่อนแรง: อาจมีอาการอ่อนแรงในส่วนของร่างกายที่เกี่ยวข้องกับเส้นประสาทที่ถูกกดทับ
  3. ชายาก: อาจมีอาการชายากในการเคลื่อนไหวในส่วนของร่างกายที่เกี่ยวข้องกับเส้นประสาทที่ถูกกดทับ
  4. ปวดเมื่อยืดตัว: อาจมีอาการปวดเมื่อยืดตัวหรือทำกิจกรรมที่เป็นการยืดส่วนที่เป็นปัญหา
  5. เดินได้ไม่ไกล มีอาการปวดชาลงไปถึงขาเหมือนเป็นตะคริวร่วมด้วย ต้องหยุดพัก แล้วจึงจะเดินต่อไปได้
  6. บางรายอาจมีปัญหาเกี่ยวกับการควบคุมการขับถ่าย

หากมีอาการเหล่านี้ควรปรึกษาแพทย์เพื่อการวินิจฉัยและการรักษา

การดูแลตัวเองสำหรับผู้ที่มีโรคหมอนรองกระดูกกดทับเส้นประสาท จะมีวิธีดังนี้

  1. ใช้ยาแก้ปวด: ใช้ยาประเภทต้านการอักเสบ (anti-inflammatory) เช่น อะซีโคลวิน หรือพาราเซตามอล เพื่อช่วยลดการอักเสบและปวดในส่วนที่เป็นปัญหา โดยควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยาเสมอ
  2. ปรับท่านอนหรือนั่ง: หากอาการปวดมีอาการเพิ่มขึ้นเมื่อนอนหรือนั่งเป็นเวลานาน ควรปรับท่านอนหรือนั่งให้ถูกต้อง เช่น นอนหรือนั่งในท่าที่ไม่เป็นตะแคง หรือใช้หมอนรองคอที่เหมาะสม
  3. ออกกำลังกายแบบน้อยๆ: การออกกำลังกายเบาๆ เช่น การเดิน การยืดกล้ามเนื้อ หรือการทำโยคะ จะช่วยลดการกดทับเส้นประสาทและเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับร่างกาย เน้นการเสริมสร้างกล้ามเนื้อรอบๆ หลังและหน้าท้องให้แข็งแรง
  4. ใช้วิธีเย็นร้อน: การประคบเย็นและร้อนสลับกันที่บริเวณที่เป็นปัญหา จะช่วยลดการอักเสบและปวดในส่วนที่เป็นปัญหา โดยสามารถใช้ผ้าเช็ดหน้าหรือถุงน้ำแข็งเป็นวิธีการประคบเย็น และผ้าร้อนหรือเครื่องทำความร้อนเป็นวิธีการประคบร้อน
  5. หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่เป็นต้นเหตุ: หากทราบว่ากิจกรรมใดที่เสี่ยงต่อการกระทบของกล้ามเนื้ออย่างหนัก
  6. ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น ไม่นั่งอยู่กับที่เป็นเวลานาน ๆ ติดต่อกันนานเกิน 1 ชั่วโมง หลีกเลี่ยงการก้มเงย ยกของหนักเป็นประจำ

หมอนรองกระดูกกดทับเส้นประสาท ห้ามกินอะไร

ไม่มีการแนะนำให้หลีกเลี่ยงการกินอาหารหรือเครื่องดื่มเฉพาะที่สำหรับผู้ที่มีโรคหมอนรองกระดูกกดทับเส้นประสาทโดยเฉพาะ อย่างไรก็ตาม การกินอาหารที่มีส่วนประกอบที่ทำให้เกิดการอักเสบเช่น อาหารไขมันสูงหรืออาหารที่มีการผสมผสานของส่วนประกอบที่มีความเสี่ยงสูงต่อการอักเสบ เช่น อาหารที่มีการใส่เครื่องเทศหรือวัตถุกันเสีย เป็นต้น อาจทำให้อาการเป็นไปได้ว่าแย่ลง ดังนั้น ควรลดหรือหลีกเลี่ยงการกินอาหารเหล่านี้ให้น้อยลงหรือเลิกกินเพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดอาการอักเสบและอาการปวดหรือผิดปกติที่เกิดขึ้นเพิ่มเติมได้

การรักษาด้วย Traction Therapy กับอาการหมอนรองกระดูกทับเส้น

Traction therapy หมอนรองกระดูกทับเส้นเป็นการรักษาอาการปวดหลังหรืออาการอื่นๆ ที่เกี่ยวกับกระดูกสันหลัง โดยการดึงรั้งส่วน Lumbar โดยการนอนบนเตียงที่สามารถขยับท่อนบนของร่างกายโดยชุดรัดตัวผู้ป่วยการดึง Lumbar เพื่อช่วยเปิดหรือขยายช่องระหว่างกระดูกสันหลังและลดการกดทับเส้นประสาท ทำให้ระบบประสาทส่วนกลางของร่างกายได้รับการผ่อนคลาย เพิ่มการไหลเวียนเลือดในบริเวณข้อกระดูก และลดความเสี่ยงที่จะเกิดอาการปวดหลังหรืออาการอื่นๆ ตามมา

การใช้ Traction therapy หมอนรองกระดูกทับเส้นนั้นต้องใช้ร่วมกับการปรับแต่งพฤติกรรมการใช้งานร่างกายและการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเพื่อป้องกันการเกิดอาการซ้ำในอนาคต นอกจากนี้การใช้ Traction therapy หมอนรองกระดูกทับเส้นยังต้องผ่านการประเมินและแนะนำโดยแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านการกายภาพบำบัดก่อนการใช้งานอย่างเหมาะสม และอย่างถูกต้องในแต่ละระยะเวลา

การออกกำลังกายแก้ปวดหลัง

 

ปวดหลังเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยสำหรับผู้คนมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ใช้เวลานานกับการนั่งหรือทำงานที่โต๊ะทำงาน อย่างไรก็ตาม การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและมีท่าทางที่ดีสามารถช่วยป้องกันการเจ็บหลังได้ ต่อไปนี้คือเทคนิคการออกกำลังกายที่อาจช่วยป้องกันการเจ็บหลังได้

  1. สร้างกล้ามเนื้อคอร์ให้แข็งแรง: กล้ามเนื้อคอร์ของคุณรวมถึงกล้ามเนื้อท้องและกล้ามเนื้อหลังช่วยสนับสนุนกระดูกสันหลังของคุณและปรับปรุงท่าทางของคุณ การทำแผ่นซีด, แครัชและการยกหลังเป็นการออกกำลังกายที่ดีสำหรับการเสริมสร้างกล้ามเนื้อคอร์
  2. ยืดเข่า: เข่าที่แน่นและตึงอาจเป็นสาเหตุของการปวดหลังดังนั้น การยืดเข่าอย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญ คุณสามารถทำได้โดยตั้งตัวนอนหงายและใช้สายหรือผ้าเชือกดันเบา ๆ เข่าของคุณเข้าหาลำตัว
  3. รวมกิจกรรมออกกำลังกายที่มีผลต่อร่างกายต่ำ: การออกกำลังกายแบบกระชับเชิงสูงเช่นวิ่งและกระโดดอาจทำให้เจ็บหลัง ดังนั้นคุณควรลองกิจกรรมออกกำลังกายแบบกระชับเช่งสูงต่ำ เช่นเดินเรืองานฝึกสอนฟิตเนสหรือจักรยาน
    1. ใช้ท่าทางที่ถูกต้อง: เมื่อยกน้ำหนักหรือทำออกกำลังกายอย่างใดอย่างหนึ่ง สิ่งสำคัญที่สุดคือการใช้ท่าทางที่ถูกต้อง เพื่อหลีกเลี่ยงการกดดันที่ไม่จำเป็นต่อหลังของคุณ เช่นเมื่อยกน้ำหนัก ควรเอนตัวตรงและใช้ขาของคุณในการยก
    2. พักผ่อนและยืดตัวอย่างสม่ำเสมอ: หากคุณใช้เวลานานกับการนั่งที่โต๊ะหรือหน้าจอคอมพิวเตอร์ ควรพักผ่อนโดยยืนขึ้นและยืดหลังและขาของคุณ สิ่งนี้สามารถช่วยปรับปรุงการไหลเวียนโลหิตและป้องกันความแข็งของกล้ามเนื้อได้

    โดยจำเป็นต้องระมัดระวังเสมอว่าคุณควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ก่อนเริ่มการออกกำลังกายใหม่โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณมีประวัติของอาการปวดหลังหรือโรคอื่น ๆ