คลินิกกายภาพบำบัด บางพลัด MRT สิรินธร

ปวดกล้ามเนื้อเรื้อรัง

ปวดกล้ามเนื้อเรื้อรัง

หมายถึงความปวดเรื้อรังในกล้ามเนื้อที่เป็นปัญหาต่อเนื่องและมักเกิดเป็นอาการปวดเรื้อรังเป็นเวลานานหรือเป็นประจำตลอดเวลา อาการปวดกล้ามเนื้อเรื้อรัง (Chronic Muscular Pain) โดยไม่มีสาเหตุที่ชัดเจน อาการที่แท้จริงของปวดกล้ามเนื้อเรื้อรังมักเป็นอาการปวดและ”จุดปวด” และอาจเกิดได้ในหลายส่วนของร่างกาย

สาเหตุ

ปวดกล้ามเนื้อเรื้อรังยังไม่ชัดเจน แต่มีปัจจัยหลายอย่างที่อาจมีผลในการเป็นโรคนี้ เช่น ความเครียด, การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ, การทำงานหนัก, การบาดเจ็บกล้ามเนื้อ, หรือปัจจัยทางพฤติกรรมอื่น ๆ อาการอื่น ๆ ที่อาจเกิดร่วมไปกับปวดกล้ามเนื้อเรื้อรังรวมถึงเจ็บปวดในข้อต่อ, ปัญหาในการนอนหลับ, ความเมื่อยล้า, และอาการเจ็บหรือชาในอวัยวะอื่น ๆ ได้รวมทั้ง ปัญหาการเกิดอาการเมื่อยและอ่อนล้าของกล้ามเนื้อ

การรักษาปวดกล้ามเนื้อเรื้อรังมักจะเน้นการจัดการอาการ โดยการควบคุมความเครียด, การออกกำลังกายอย่างเหมาะสม, การใช้ยาและการฝึกปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอาหาร นอกจากนี้การรักษาเสริมด้วยการประคับกล้ามเนื้อ, การฝึกอบรมการควบคุมกล้ามเนื้อ, และการรับบริการจากนักบำบัดทางกายภาพอาจช่วยให้คุณมีอาการดีขึ้นได้ คุณควรพบแพทย์หากคุณมีปัญหาปวดกล้ามเนื้อเรื้อรังเพื่อให้ได้การวินิจฉัยและแผนการรักษาที่เหมาะสมสำหรับคุณและสามารถป้องกันการเป็นโรคนี้ด้วยการดูแลสุขภาพอย่างดีและลดความเครียดตามเที่ยวที่จะเป็นไปได้

 

อาการ

อาการของปวดกล้ามเนื้อเรื้อรังมีลักษณะหลายประการและอาจแตกต่างไปตามบุคคลแต่ละคน อาการที่พบบ่อยรวมถึง:

1.ปวดกล้ามเนื้อ: อาการปวดอาจเรื้อรัง,ปวดคอเรื้อรังได้ และอาจปวดตามข้อต่าง ๆ ในร่างกาย

2.ปวดคอ: กล้ามเนื้อมักมีความตึง ทำให้เกิดความบกพร่องต่อการเคลื่อนไหวของร่างกาย

3.เจ็บปวดในข้อ: บางครั้งปวดกล้ามเนื้อเรื้อรังอาจส่งผลให้ข้อต่อเกิดอาการเจ็บปวดและอาจก่อให้เกิดความบกพร่องในการเคลื่อนไหวของข้อ

4.ความเมื่อยและอ่อนล้า: คนที่มีปวดกล้ามเนื้อเรื้อรังอาจรู้สึกเหนื่อยและอ่อนล้าได้ง่ายขึ้น

5.อาการนอนไม่หลับ: ปวดกล้ามเนื้อเรื้อรังอาจทำให้มีปัญหาในการนอนหลับหรือทำให้คุณตื่นขึ้นตอนกลางดึก

6.อาการเจ็บหรือชาในบางส่วนของร่างกาย: ปวดกล้ามเนื้อเรื้อรังอาจร่วมกับอาการเจ็บหรือชาในส่วนของร่างกายที่เป็นจุดปวด

7.ปัญหาการควบคุมอารมณ์: ส่วนหนึ่งของคนที่มีปวดกล้ามเนื้อเรื้อรังอาจมีปัญหาในการควบคุมอารมณ์ และรู้สึกวิตกกังวล

อาการเหล่านี้มักเกิดเป็นระยะยาวและอาจเป็นปัญหาที่รักษายาก หากคุณมีอาการเหล่านี้และสงสัยว่าคุณอาจเป็นโรคปวดกล้ามเนื้อเรื้อรัง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรับคำแนะนำเกี่ยวกับการรักษาและกายภาพบำบัด

ระยะความรุนแรง

ปวดกล้ามเนื้อเรื้อรังมีระยะความรุนแรงที่แตกต่างไปได้ตามบุคคลแต่ละคนและตามปัจจัยต่าง ๆ ระยะความรุนแรงของโรคนี้อาจแบ่งเป็นสามระดับหลักคือ:

1.ระยะความรุนแรงต่ำ: ในระยะแรกๆ ของโรค, ความเจ็บปวดและการอักเสบอาจไม่รุนแรงมาก และมักเป็นอาการที่จะหายไปเองหากคนที่ป่วยมีการพักผ่อนเพียงพอ ระยะนี้อาจไม่มีอาการอื่น ๆ

2.ระยะความรุนแรงปานกลาง: ในระยะนี้, อาการปวดและการอักสบมีความรุนแรงมากขึ้น และเห็นได้อย่างชัดเจน ความอ่อนล้าอาจก่อให้เกิดการปวดและอักเสบของกล้ามเนื้อทำให้ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของร่างกาย เช่น มีปัญหาในการเดิน หรือใช้แขนและขา

3.ระยะความรุนแรงสูง: ในระยะสุดท้าย, อาการปวดและอักเสบมีความรุนแรงมากที่สุด และมักมีปัญหาในการเคลื่อนไหว คนที่อยู่ในระยะนี้อาจจำเป็นต้องพยายามหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้ปวดมากขึ้น และอาจต้องพบแพทย์หรือนักบำบัดทางกายเพื่อรับการรักษาและการบำบัดทางกายเพื่อควบคุมอาการ

 

ควรระมัดระวังและดูแลระดับความรุนแรงของโรคตลอดเวลา เนื่องจากมีความเป็นไปได้ที่ความรุนแรงของโรคจะเปลี่ยนแปลง การรักษาและการบำบัดทางกายที่เหมาะสมอาจช่วยให้คุณควบคุมอาการได้ดียิ่งขึ้นและลดความรุนแรงของโรคได้ ซึ่งทำให้สามารถจัดการกับปวดกล้ามเนื้อเรื้อรังให้เหมาะสม.

 

กายภาพบำบัด

การบำบัดทางกาย (Physical Therapy) เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการรักษาปวดกล้ามเนื้อเรื้อรังที่มีประสิทธิภาพ การบำบัดทางกายมุ่งเน้นการฝึกกายภาพและการออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและควบคุมการเคลื่อนไหวในร่างกาย นี่คือวิธีการบำบัดทางกายที่อาจช่วยลดอาการปวดและป้องกันสุขภาพของคนที่มีปัญหาเรื่องกล้ามเนื้อเรื้อรัง:

1.การประคบกล้ามเนื้อ: การบำบัดทางกายสามารถช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อโดยใช้การฝึกซ้อมเพื่อเพิ่มความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ

2.การฝึกปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอาหาร: นักบำบัดทางกายอาจให้คำแนะนำเกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอาหารและการออกกำลังกายในชีวิตประจำวัน เพื่อส่งเสริมสุขภาพของคนที่มีปัญหาเรื่องกล้ามเนื้อเรื้อรัง

3.การฝึกการควบคุมกล้ามเนื้อ: นักกายภาพบำบัดอาจช่วยในการฝึกควบคุมกล้ามเนื้อเพื่อควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกาย

4.การใช้เทคนิคการบำบัดทางกาย: นักบำบัดทางกายอาจใช้เทคนิคการบำบัดทางกายต่าง ๆ เช่นการนวด, การใช้เครื่องช่วยในการรักษา, และการนำเทคนิคการบำบัดทางกายในการรักษาอาการปวด

5.การออกกำลังกาย: การบำบัดทางกายอาจสร้างโปรแกรมออกกำลังกายที่เหมาะสมสำหรับคนที่มีปวดกล้ามเนื้อเรื้อรัง โดยออกกำลังกายเป็นระยะเวลาที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัย

การรักษาด้วยการบำบัดทางกายต้องปรับแต่งตามความต้องการและสภาพสุขภาพของแต่ละคน การปรึกษาแพทย์และนักบำบัดทางกายเป็นสิ่งสำคัญการทำกายภาพบำบัด ด้วยเครื่องมือทางกายภาพบำบัดไม่ว่าจะเป็น TECAR,Shockwave,High power laser, Ultrasound,PMS,Electrical Stimulation รวมถึง Manual technique ต่างๆ  และคำแนะนำการปฏิบัติท่าทางที่เหมาะสม เพื่อบรรเทาอาการปวด รักษาอาการของโรค วินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสมสำหรับคุณ.

 

ติดต่อเรา

Tel:098 225 2255

Facebook:Bangkok pain clinic คลินิกกายภาพบำบัด

Gmail:bangkokpainclinic@gmail.com

Website:bangkokpainclinic.com

สาเหตุของการปวดเข่า (Knee pain)

ปวดเข่าเป็นอาการที่สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ดังนี้:

  1.       อุบัติเหตุ: เป็นอีกสาเหตุที่ทำให้ข้อเข่าได้รับบาดเจ็บ เช่น การตกหรือกระแทกข้อเข่า, การเล่นกีฬาที่เกิดการกระแทก เป็นต้น
  2.     ข้อเข่าเสื่อม (Osteoarthritis): เป็นโรคที่เกิดจากการสึกกร่อนของกล้ามเนื้อและกระดูกข้อเข่า ทำให้ข้อเข่าอ่อนแรงและปวด
  3.     เข่าด้านในอักเสบ(Knee Bursitis): การอักเสบของถุงน้ำในข้อเข่าสามารถทำให้เกิดการปวดเข่า
  4.       เอ็นหัวเข่าอักเสบ (Knee Tendonitis): การอักเสบของเส้นเอ็นที่เชื่อมต่อกล้ามเนื้อกับกระดูกข้อเข่า
  5.       การบิดเข่าหรือเคล็ดเข่า (Knee Sprain): การบิดหรือการเคล็ดของข้อเข่าสามารถทำให้เกิดการบาดเจ็บและปวดเข่าได้
  6.       เก๊าท์ (Gout):โรคเก๊าท์ (Gout) เป็นโรคที่เกิดขึ้นเมื่อมีการสะสมของกรดยูริกในร่างกาย โรคนี้มักเกิดขึ้นในข้อต่างๆ ของร่างกาย แต่มักพบมากที่สุดในข้อปลายเท้า (big toe) โดยส่วนใหญ่เกิดขึ้นที่ข้อเท้า
  7.       การบาดเจ็บของเส้นเอ็นที่อยู่บริเวณต้นขาด้านนอกเชื่อมกล้ามเนื้อบริเวณด้านข้างและกล้ามเนื้อก้นด้านข้างยาวลงมาผ่านเข่า (Iliotibial Band Syndrome): การใช้งานมากของเส้นเอ็นอาจทำให้เกิดการอักเสบและปวดเข่า
  8.       โรคอื่นๆ: การปวดเข่ายังสามารถเกิดขึ้นจากโรคอื่นๆ เช่น โรคข้อเข่าโดยเฉพาะ (Rheumatoid Arthritis), การติดเชื้อ, หรืออาการอื่นๆ ที่มีผลต่อข้อเข่า

การรักษาอาการปวดเข่าจะขึ้นอยู่กับสาเหตุของอาการ การปรึกษาแพทย์เป็นสิ่งสำคัญเพื่อวินิจฉัยและรับคำแนะนำเกี่ยวกับการรักษาที่เหมาะสม เช่น การพบแพทย์อาจแนะนำการฝึกหัดกล้ามเนื้อและกำจัดอาการอักเสบด้วยยาต้านอักเสบหรือรักษาแบบศัลยกรรมเมื่อจำเป็น

การรักษาปวดเข่าสามารถทำได้หลายวิธี เช่น

  1. กายภาพบำบัด: แพทย์หรือนักกายภาพบำบัดจะสามารถตรวจประเมินร่างกาย และให้การรักษาทางกายภาพบำบัด  รวมถึงแนะนำการทำกิจกรรมที่เหมาะสมเพื่อป้องกันการปวดเข่าที่เพิ่มมากขึ้นและเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อข้อเข่าเพื่อลดแรงกระทำต่อข้อเข่าขณะทำกิจกรรม หรือกิจวัตรประจำวันได้ 
  2. การใช้ยา: การใช้ยาลดปวด เช่น ยาระงับปวด (pain relievers) หรือยาต้านอักเสบ (anti-inflammatory drugs) อาจช่วยลดอาการปวดเข่าและการอักเสบของข้อเข่า
  3. การสวมอุปกรณ์ช่วยพยุงข้อเข่า : การใช้เข่าเสริมหรืออุปกรณ์ช่วยพยุงอื่นๆ เช่น knee support สามารถช่วยลดแรงที่กระทำต่อข้อเข่าที่มากเกินไป ช่วยพยุงข้อเข่าไม่ให้มีการบาดเจ็บซ้ำในผู้ที่ได้รับการบาดเจ็บบริเวณข้อเข่า หรือช่วยกระชับข้อเข่า เพิ่มความมั่นคงให้กับข้อเข่า และบรรเทาอาการปวดได้
  4. การแก้ไขรูปแบบการเดิน: หากรูปแบบการเดินของคุณไม่ถูกต้อง กายภาพบำบัดอาจช่วยปรับปรุงรูปแบบการเดินเพื่อลดแรงที่กระทำต่อข้อเข่าได้ 
  5. การผ่าตัด: ในกรณีที่มีความเสี่ยงสูงหรืออาการรุนแรงมาก แพทย์อาจแนะนำการผ่าตัดข้อเข่าเพื่อซ่อมแซมหรือใส่อุปกรณ์เทียมแทนข้อเข่าที่เสื่อมสภาพ
  6. การบริหารสุขภาพรวม: การรักษาสุขภาพทั่วไป เช่น การควบคุมน้ำหนัก, การออกกำลังกายอย่างเหมาะสม, และการบริหารสตรีอย่างดี สามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดปัญหาข้อเข่าได้

การรักษาปวดเข่าขึ้นอยู่กับสาเหตุและระดับความรุนแรงของปัญหา ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและแผนการรักษาที่เหมาะสมสำหรับอาการปวดของแต่ละบุคคลและควรรักษาตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดเพื่อป้องกันอันตรายและฟื้นฟูสภาพข้อเข่าให้ดีขึ้นได้อย่างเหมาะสม 

การทำกายภาพบำบัดถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ที่ไม่อยากผ่าตัด ด้วยเครื่องมือทางกายภาพบำบัดไม่ว่าจะเป็น TECAR,Shockwave,High power laser, Ultrasound,PMS,Electrical Stimulation รวมถึง Manual technique ต่างๆ  และคำแนะนำการปฏิบัติท่าทางที่เหมาะสม เพื่อบรรเทาอาการปวด ป้องกันการบาดเจ็บของข้อเข่าที่อาจเพิ่มขึ้นจากการใช้ชีวิตประจำวัน และฟื้นฟูกล้ามเนื้อให้แข็งแรงมากขึ้น 

ติดต่อเรา

Tel:098 225 2255

Facebook:Bangkok pain clinic คลินิกกายภาพบำบัด

Gmail:bangkokpainclinic@gmail.com

Website:bangkokpainclinic.com

 

 

อันตรายที่แฝงมากับรองเท้าส้นสูง

อันตรายที่แฝงมากับรองเท้าส้นสูง

ปัจจุบันแฟชั่นการแต่งตัวให้ดูดีเป็นสิ่งสำคัญ สาวๆในยุคสมัยนี้ให้ความสำคัญกับบุคลิกการแต่งตัวเป็นอันดับต้นๆ ก่อนออกจากบ้านต้องดูดี ซึ่งขาดไม่ได้เลยคือรองเท้าส้นสูงคู่ใจของใครหลายๆคน ที่จะเพิ่มความมั่นใจ รูปลักษณ์ให้ดูดีดูสง่า ซึ่งลืมไปว่าการสวมรองเท้าที่ดีและถูกต้องนั้นก็สำคัญเช่นกัน หากสวมรองเท้าส้นสูงทุกๆวันเป็นระยะเวลานานๆ  อาจจะส่งผลกระทบต่อร่างกายของเราโดยที่ไม่รู้ตัว

 

ข้อเสีย

1.ปวดเท้า  การสวมรองเท้าส้นสูงทำให้ทรงตัวลำบาก ลำตัวโน้มไปด้านหน้าส่งผลให้กระดูกเท้าต้องรับน้ำหนัก หากถูกบีบรัดจนเกินไปอาจส่งผลให้กระดูกและเส้นประสาทบริเวณฝ่าเท้าเกิดการอักเสบได้

2.ปวดน่องเอ็นร้อยหวายตึง  ในการสวมใส่รองเท้าเหมือนเป็นการยืนเขย่าตลอดเวลาจึงส่งผลให้บริเวณที่เป็นเอ็นร้อยหวายนั้นตึง เป็นสาเหตุที่ทำให้ปวดน่อง หรือเป็นตะคริว

3.ปวดเข่า  เสี่ยงเป็นโรคเข่าเสื่อมการเดินบนส้นสูงนั้นจะเกิดแรงกระแทกที่บริเวณข้อเข่า เข่าเป็นกระดูกข้อต่อที่ใหญ่ที่สุด ทำให้การรองรับความตึงเป็นระยะเวลานานนั้นอาจจะทำให้น้ำในไขข้อกระดูกลดลงจนเกิดเป็นรอยแตกทำให้ข้อเข่าเสื่อมและเสี่ยงต่อการเป็นโรคกระดุกพรุนได้

4.ปวดหลัง  การใส่ส้นสูงทำให้ช่วงลำตัวแอ่นไปด้านหน้า ซึ่งกระดูกสันหลังจะคดเป็นรูปตัว S หากเป็นในระยะเวลานานๆ ก็จะมีปัญหาปวดหลังตามมา

5.อุบัติเหตุ  การสวมรองเท้าส้นสุงนั้นมีโอกาสทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย เพราะต้องทรงตัวยืนบนรองเท้าที่มีความมั่นคงไม่แข็งแรง หากพื้นทางเดินขรุขระอาจะทำให้สะดุดหกล้มหรือข้อเท้าพลิกได้

6.โครงสร้างเท้าผิดรูป  การใส่รองเท้าส้นสูงที่บีบรัดแน่นเท้า เช่น รองเท้าที่มีหัวแคบ เป็นสายรัดหน้าเท้าของเราหากใส่เป็นเวลานานๆ กระดูกนิ้วเท้าที่โดนบีบรัดเป็นเวลานานก็จะทำให้ผิดรูปได้

 

 

 

ทำความรู้จักกับOffice syndrome

Office Syndrome ส่งผลต่อร่างกายของคุณอย่างไร

ในโลกปัจจุบันที่หมุนไปอย่างรวดเร็ว การนั่งที่โต๊ะเป็นเวลานานๆ กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเราอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าคุณจะเป็นนักเรียน มืออาชีพ หรือฟรีแลนซ์ การใช้เวลาหลายชั่วโมงอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์กลายเป็นเรื่องปกติ

มารู้จักโรคยอดฮิต ออฟฟิศซินโดรม

ออฟฟิศซินโดรม (Office Syndrome) คือ กลุ่มอาการปวดกล้ามเนื้อและเยื่อพังผืด (Myofascial Pain Syndrome) เนื่องมาจากรูปแบบการทำงานที่ใช้กล้ามเนื้อมัดเดิมซ้ำๆ เป็นระยะเวลานานต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลให้เกิดอาการกล้ามเนื้ออักเสบและปวดเมื่อยตามอวัยวะต่างๆ โดยเฉพาะบริเวณ คอ หลัง ไหล่ บ่า แขน หรือข้อมือ ซึ่งอาการปวดดังกล่าวอาจลุกลามจนกลายเป็นอาการปวดเรื้อรัง

 

ออฟฟิศซินโดรมเกิดได้อย่างไร

โดยมีสาเหตุและปัจจัยที่ทำให้มีโอกาสเกิดกลุ่มอาการดังกล่าว ได้แก่

  • ท่าทางการทำงาน (Poster) เช่น ลักษณะท่านั่งทำงาน การวางมือ ศอก บนโต๊ะทำงานที่ไม่ถูกต้อง
  • การบาดเจ็บจากงานซ้ำ ๆ (Cumulative Trauma Disorders) หรือระยะเวลาในการทำงานที่มากเกินไป ทำให้ร่างกายเกิดการล้า เช่น การใช้ข้อมือซ้ำ ๆ ในการใช้เมาส์ อาจทำให้เกิดการอักเสบของเอ็นบริเวณข้อมือ หรือพังผืดเส้นประสาทบริเวณข้อมือได้
  • สิ่งแวดล้อมในการทำงานที่ไม่เหมาะสม เช่น ลักษณะโต๊ะทำงาน หน้าจอคอมพิวเตอร์ แสงสว่างในห้องทำงาน

 

เช็คอาการออฟฟิศซินโดรม

ปวดกล้ามเนื้อเฉพาะส่วนใดส่วนหนึ่ง มักมีอาการปวดแบบกว้างๆ ๆไม่สามารถชี้จุดหรือระบุตำแหน่งที่ปวดได้อย่างชัดเจน เช่น คอ บ่า ไหล่ สะบัก

ปวดศีรษะเรื้อรัง หรือในบางครั้งมีอาการปวดหัวไมเกรนร่วมด้วย ซึ่งมีสาเหตุมาจากความเครียดหรือการที่ใช้สายตาเป็นระยะเวลานาน

ปวดหลังเรื้อรัง เป็นอาการที่พบบ่อยในผู้ป่วยโรคออฟฟิศซินโดรม เนื่องจากการนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์หลายชั่วโมง นั่งไม่ถูกท่า นั่งหลังค้อม อาจทำให้กล้ามเนื้อต้นคอ เมื่อย เกร็งอยู่ตลอด รวมถึงงานที่ต้องยืนนานๆ โดยเฉพาะคุณผู้หญิงที่ใส่ส้นสูง

ปวดตึงที่ขา หรือเหน็บชา อาการชาเกิดจากการนั่งนานๆ ทำให้เส้นเลือดดำถูกกดทับและส่งผลให้เลือดไหลเวียนผิดปกติ

ปวดตา ตาพร่า เนื่องจากต้องมีการมองหน้าจอคอมพิวเตอร์นานๆ หรือใช้สายตาอย่างหนักเป็นเวลานาน

มือชา นิ้วล็อค ปวดข้อมือ เพราะการใช้คอมพิวเตอร์จับเมาส์ในท่าเดิมๆ นาน ทำให้กล้ามเนื้อกดทับเส้นประสาทและเส้นเอ็นจนอักเสบ เกิดพังผืดทำให้ปวดปลายประสาท นิ้วหรือข้อมือล็อคได้

การรักษาออฟฟิศซินโดรม

การรักษาโรคออฟฟิศซินโดรมมีด้วยกันหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการรักษาด้วยยา การปรับสภาพแวดล้อมในการทำงาน   การออกกำลังกายเพื่อรักษาอาการปวด การทำกายภาพบำบัดด้วยเครื่องมือกายภาพบำบัด

กายภาพบำบัดช่วยได้อย่างไร

 

อย่างไรก็ตาม การใช้ชีวิตอยู่ประจำนี้อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพร่างกายและจิตใจของเราได้ ออฟฟิศซินโดรม หรือที่รู้จักในชื่อคอมพิวเตอร์ซินโดรม เป็นภาวะที่ส่งผลต่อผู้ที่นั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพต่างๆ เช่น ปวดคอ ปวดหลัง ปวดศีรษะ และอื่นๆ โชคดีที่การทำกายภาพบำบัดสามารถช่วยบรรเทาอาการออฟฟิศซินโดรมและทำให้คุณภาพชีวิตโดยรวมของคุณดีขึ้นได้ ในบทความนี้ เราจะพูดถึงว่าออฟฟิศซินโดรมส่งผลต่อร่างกายของคุณอย่างไร และกายภาพบำบัดสามารถช่วยให้คุณเอาชนะอาการนี้ได้อย่างไร ดังนั้น นั่งลงและอ่านต่อเพื่อค้นพบวิธีที่คุณสามารถรักษาสุขภาพให้แข็งแรงและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพแม้จะใช้เวลาอยู่ที่โต๊ะทำงานเป็นเวลานาน

 

 

ท่าบริหาร อาการปวดหลังส่วนล่าง

อาการปวดหลังส่วนล่าง

การปวดหลังส่วนล่างเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ รวมถึงการบาดเจ็บหรือการอักเสบของกล้ามเนื้อหรือเส้นประสาทบริเวณหลังส่วนล่าง นอกจากนี้ อาการปวดหลังส่วนล่างยังเกิดจากปัจจัยต่างๆ เช่นการนั่งทำงานนานเกินไป การยืนหรือเดินเป็นเวลานาน ออกกำลังการผิดวิธี การเคลื่อนหรือทำกิจกรรมในท่าที่ไม่ถูกต้อง


ท่าบริหาร แก้อาการปวดหลัง

ท่าที่ 1 ท่าแมวและวัว (Cat and cow) : ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหลังและหน้าท้อง

ท่าเริ่มต้น

  • อยู่ในท่าตั้งคลาน วางเข่าอยู่ระดับสะโพกและมือที่ระดับไหล่
  • จัดแนวกระดูกสันหลัง กระดูกคอ อกและเอวให้อยู่ระดับเดียวกัน

ท่ายืดหลังส่วนล่าง แอ่น

ท่ายืดหลังส่วนล่าง

ท่าแมว (Cat Pose) ทำขณะหายใจออก

  • โก่งหลังขึ้นหาเพดาน
  • ปล่อยศีรษะตกสบายๆ
  • ขมิบก้น กดเข่าลงพื้น
  • ขณะหายใจออก นับ1-3ช้าๆแล้วจึงเปลี่ยนเป็นท่าวัว

ท่าวัว (Cow Pose) ทำขณะหายใจเข้า

  • แอ่นหลังและหย่อนหน้าท้องลงหาพื้น
  • เงยหน้ามองเพดานหรือมองไปด้านหน้า

 ทำท่าแมวและวัวสลับกันช้าๆ นับเป็น 1 รอบ ทำ 10 รอบต่อวัน

ท่าที่ 2 ท่าเกร็งกดหลังและหน้าท้องลง (Pelvic tilt) : นอกจากช่วยเสริมสร้างความแข็งแรง ทั้งหลัง ก้นและหน้าท้องแล้ว ยังช่วยเพิ่มแรงดันในช่องท้องประคองไม่ให้แรงมากระทำกับกระดูกสันหลังมากเกินไป

ท่าวัว

  • นอนหงาย ชันเข่าทั้งสองข้าง
  • เกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้องและสะโพกโดยการขมิบก้น แขม่วท้อง กดหลังติดพื้น
  • เกร็งค้างไว้นับ 1-5 ช้าๆ แล้วปล่อย ไม่ควรกลั้นหายใจขณะเกร็ง
  • นับ 1-5 ถือเป็น 1 รอบ ทำ 10 รอบ/เซต (เช้า-เย็น)

ท่าที่ 3 ท่านอนบิดสะโพก (Trunk rotation) : เพิ่มความยืดหยุ่นให้กับกล้ามเนื้อและข้อต่อบริเวณสะโพก

ท่านอนบิดสะโพก

  • นอนหงาย ชันเข่าทั้งสองข้าง
  • บิดเข่าทั้งสองข้างไปด้านใดด้านหนึ่งจนรู้สึกตึงบริเวณหลัง
  • ค้างไว้ 5 วินาที โดยไม่กลั้นหายใจ เพื่อเป็นการยืดหลัง
  • ทำ 10 ครั้ง/เซต ทั้งหมด 10 เซต/วัน

*ข้อควรระวัง : ผู้ป่วยที่มีภาวะกระดูกสันหลังไม่คงที่และผู้ป่วยที่มีอาการชา หรือปวดร้าวลงขา ควรหยุดทันที

ท่าที่ 4 ท่าดึงเข่าชิดอก (Single knee to chest) : บริเวณหลังส่วนล่างจะถูกยืดเหยียด และลดความตึงตัวของกล้ามเนื้อ

ท่าดึงเข่าชิดอก

  • นอนราบบนพื้น งอเข่าหนึ่งข้างเข้าหาลำตัว
  • ประสานนิ้วมือทั้งสองข้างช้อนใต้เข่า
  • ดึงเข่าเข้าหาหน้าอกให้มากที่สุด จนรู้สึกตึงกล้ามเนื้อหลังส่วนล่างและไม่เจ็บ
  • ทำค้างไว้ข้างละ 20 วินาที แล้วค่อยๆผ่อนลงไปท่านอนราบเหมือนเดิม
  • ทำด้านขวาสลับด้านซ้ายถือเป็น 1 รอบ ทำ 10 รอบ/เซต (เช้า-เย็น)

ท่าที่ 5 ออกกำลังกายหน้าท้อง (Abdominal curl) : การที่กล้ามเนื้อหน้าท้องแข็งแรงส่งผลให้กล้ามเนื้อหน้าท้องส่วนลึกช่วยประคองให้กระดูกสันหลังมีความมั่นคงมากขึ้น แล้วทำให้ปวดหลังน้อยลง

  • นอนราบ ชันเข่าขึ้นทั้งสองข้าง
  • แขนสองข้างเหยียดตรงข้างลำตัว
  • ยกศีรษะและไหล่ขึ้นเหนือพื้นหรือเตียง
  • นับ 1-10 ค้างไว้ช้าๆ แล้วค่อยๆผ่อนลง ถือเป็น 1 รอบ
  • ค้าง 10 วินาที/รอบ ทำ 10 รอบ/เซต (เช้า-เย็น)

 

 

อาการปวดหลังส่วนล่างในผู้หญิงเกิดจากอะไรได้บ้าง

 

อาการปวดหลังส่วนล่างเป็นอาการที่พบได้บ่อยในผู้หญิงและสาเหตุของอาการนี้อาจเกิดจากหลายปัจจัย เช่น ท่าทางไม่ถูกต้อง, การเคลื่อนไหวผิดปกติ, การบาดเจ็บหรือโรคทางการแพทย์ และบางปัจจัยที่อาจส่งผลต่ออาการปวดหลังส่วนล่างในผู้หญิงได้ สาเหตุที่พบบ่อย มีดังนี้

1.การตั้งครรภ์: การถ่วงของครรภ์ที่อยู่ด้านหน้าเพิ่มขึ้น ส่งผลให้กระดูกสันหลังแอ่นเป็นเวลานาน และการแบกรับน้ำหนักตัวที่เพิ่มมากขึ้นซึ่งจะทำให้เกิดอาการปวด นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนระหว่างการตั้งครรภ์ โดยเฉพาะฮอร์โมนรีแลกซิน (Relaxin)  ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่สร้างมาจากรังไข่ขณะตั้งครรภ์ เพื่อช่วยกระตุ้นการคลายตัวเอ็นยึดกระดูกเชิงกรานให้คลอดง่ายขึ้น ซึ่งบางครั้งส่งผลให้มีอาการปวดหลังได้ รวมถึงเมื่ออายุครรภ์ 5 เดือนเป็นต้นไป ทารกจะดึงแคลเซียมจากกระแสเลือดคุณแม่ไปใช้ในการสร้างกระดูกและฟัน เป็นเหตุให้เกิดการกร่อนของกระดูก นำมาซึ่งอาการปวดหลังในที่สุด

2.รอบเดือน: เมื่อฮอร์โมนเอสโทรเจน(Estrogen)และโพรเจสเทอโรน (Progesterone) ลดระดับลงแล้ว มดลูกจะเริ่มหดตัวเพื่อขับเยื่อบุโพรงมดลูกออกมาเป็นเลือดประจำเดือน ซึ่งในผู้หญิงบางคน มดลูกอาจจะหดตัวเยอะมากจนไปกดเส้นเลือดในบริเวณใกล้เคียง ทำให้ออกซิเจนไม่สามารถไปหล่อเลี้ยงกล้ามเนื้อในบริเวณดังกล่าวได้มากเท่าที่ควร จึงส่งผลให้เกิดอาการปวดบริเวณท้องน้อย และลามมาถึงบริเวณหลังช่วงล่างได้

3.โรคกระดูกพรุน (Osteoporosis): มักพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย เนื่องจากฮอร์โมน เพศหญิงจะเห็นได้ชัดเจนในช่วง  5 ปีแรกของการหมดประจำเดือน ซึ่งในช่วงนั้นผู้หญิงจะมีการสูญเสียเนื้อกระดูกอย่างรวดเร็ว  (3-5 เปอร์เซ็นต์ต่อปี เป็นเวลา 5 ปี ) หรือสูงถึง 15-25 เปอร์เซ็นต์ของกระดูกในร่างกาย การสูญเสียมวลกระดูก ทำให้กระดูกเสียคุณสมบัติการรับน้ำหนัก กระดูกเปราะ หักง่าย ส่งผลต่ออาการปวดหลังได้

4.Arthritis: การอักเสบของข้อต่อในกระดูกสันหลังสามารถก่อให้เกิดอาการปวดหลังส่วนล่างได้ พบบ่อยในผู้หญิงที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้น

5.การเคลื่อนไหวผิดวิธีหรือได้รับบาดเจ็บกล้ามเนื้อ: สาเหตุนี้สามารถเกิดจากการยกของหนักๆ หรือการงอตัวหรือหมุนตัวผิดวิธี รวมถึงท่าทางในการนั่งทำงานที่ไม่เหมาะสม ซึ่งอาจทำให้ปวดหลังส่วนล่างได้

6.ปัญหาโครงสร้างของกระดูกสันหลัง: ผู้หญิงที่มีโรคกระดูกสันหลังคด (scoliosis), โรคโพรงกระดูกสันหลังตีบแคบ (spinal stenosis) หรือปัญหาโครงสร้างอื่นๆ ในกระดูกสันหลังอาจมีโอกาสเกิดอาการปวดหลังส่วนล่างได้มากขึ้น

7.Disc herniation: สาเหตุอาจเกิดจากการยกของหนักในท่าที่ผิด ทำให้หมอนรองกระดูกสันหลังเกิดการปลิ้นหรือในแตก อาจส่งผลให้มีการกดทับเส้นประสาทบริเวณข้างเคียง เกิดอาการปวดหลังส่วนล่างหรือบางรายอาจมรอาการปวดร้าวลงขาร่วมด้วย

8.โรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (Endometriosis): โดยอาจแทรกตัวอยู่ในผนังหรือกล้ามเนื้อมดลูก หรืออาจเล็ดลอดเข้าไปในช่องท้องจนไปเจริญเติบโตอยู่ตามอวัยวะต่างๆในอุ้งชิงกราน เช่น เยื่อบุช่องท้อง รังไข่ ผนังลำไส้ และผนังกระเพาะปัสสาวะ เยื่อบุโพรงมดลูกที่เจริญผิดที่นี้ ถือเป็นปฏิกิริยาการอักเสบที่ขึ้นกับฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen-dependent, benign, inflammatory disease) เมื่อไปเจริญเติบโตอยู่ผิดที่ก็จะยังคงทำหน้าที่เช่นเดิม คือ สร้างประจำเดือน จึงทำให้มีเลือดสีแดงคล้ำหรือสีดำข้นคล้ายช็อกโกแลตขังอยู่ตามอวัยวะต่างๆ ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของอาการผิดปกติต่างๆที่พบได้ในผู้ป่วยโรคนี้ เช่น ปวดท้องลามไปถึงหลังส่วนล่าง ปวดประจำเดือน ปวดท้องน้อยเรื้อรัง และมีบุตรยาก

9.Fibromyalgia: เป็นกลุ่มอาการปวดเรื้อรัง โดยอาการปวดมักจะกระจายหลายจุดตามร่างกาย โดยเฉพาะที่เป็นตำเหน่ง ของกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น และเนื้อเยื่ออ่อนของร่างกาย บริเวณที่พบว่ามีอาการบ่อยคือ ศีรษะ คอ บ่า และหลัง บางรายปวดทั้งตัว นอกจากอาการปวดยังอาจมีอาการร่วมอื่นๆได้หลายอาการ ได้แก่ อาการอ่อนเพลีย นอนหลับไม่ สนิท สมาธิและความจำถดถอย รวมถึงความเครียดและอารมณ์ซึมเศร้า พบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย 8 เท่า พบมากในวัยกลางคนอายุระหว่าง 35-60 ปี

10.โรคนิ่วในไต (Kidney Stone):เกิดจากการตกตะกอนของสารในปัสสาวะ  ในภาวะปติสารเหล่านี้จะละลายไม่จับตัวกันเป็นนิ่ว แต่ในผู้ที่เป็นโรคนิ่วจะมีภาวะที่ทำให้สารละลายต่างๆเกิดการตกตะกอนได้ง่ายกว่าปกติจนจับตัวเป็นก้อน หากเป็นนิ่วที่มีขนาดใหญ่ อาจทำให้เกิดอาการปวดหลัง ปวดเอวเรื้อรัง มีการติดเชื้อในระบบปัสสาวะ และทำทำไตสูญเสียการทำงานจนเกิดภาวะไตวายได้

11.Cystic ovary: ซีสต์มีลักษณะเป็นถุงที่เต็มไปด้วยของเหลว ซึ่งสามารถก่อตัวขึ้นได้ในรังไข่ เมื่อเกิดการตกไข่ผิดปกติจะทำให้เกิดการคั่ง มีถุงน้ำในรังไข่ หรือไข่ไม่ตก ทำให้เกิดเป็นถุงน้ำขนาดเล็กในรังไข่ทั้งสองข้าง มักพบอาการปวดท้อง ปวดปัสสาวะบ่อยหรือปัสสาวะลำบาก เจ็บหรือปวดหลังส่วนล่าง ปวดประจำเดือนมากหรือมีเลือดออกผิดปกติ 

  1. ภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบ (Pelvic inflammatory disease :PID) หมายถึง ภาวะที่มีการติดเชื้อในระบบสืบพันธุ์เพศหญิงส่วนบน ได้แก่ มดลูก (endometritis) ท่อนำไข่ (salpingitis) รังไข่ (oophoritis) และเยื่อบุช่องท้องในอุ้งเชิงกราน (pelvic peritonitis) อาจก่อให้เกิดอาการปวดหลังล่าง รวมถึงอาการอื่นๆ เช่น ปวดท้องและไข้ โดยส่วนต่างๆของระบบสืบพันธุ์ของผู้หญิง อาจเกิดการติดเชื้อ จากเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส หรือจากเชื้อราและ อย่างไรก็ตาม หากมีอาการปวดหลังล่างหรืออาการอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับระบบสืบพันธุ์ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อการวินิจฉัยและการรักษาเพิ่มเติม

13.มะเร็ง: ในกรณีที่หากพบว่ามีอาการปวดหลังส่วนล่างอย่างรุนแรงและไม่สามารถอธิบายได้ว่ามาจากสาเหตุใด น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ อาจจะเกิดจากมะเร็งที่กระจายไปยังกระดูกสันหลังหรือเนื้อเยื่อใกล้เคียงได้

14.ภาวะน้ำหนักเกิน (Obesity):  ในผู้ที่มีภาวะน้ำหนักเกินมาตรฐานส่งผลให้กระดูกสันหลังรับน้ำหนักมากกว่าคนปกติ โดยเฉพาะผู้ที่มีภาวะอ้วนลงพุง น้ำหนักที่มากขึ้นบวกกับพุงที่ยื่นมาด้านหน้า ทำให้กล้ามเนื้อหลังออกแรงดึงมากขึ้น หลังแอ่นมาก และหากต้องดึงเป็นเวลานานๆ จะส่งผลให้หมอนรองกระดูกรับน้ำหนักไม่สมดุลกัน อาจเคลื่อนหรือปลิ้นทับเส้นประสาท ส่งผลให้เกิดหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท กระดูกสันหลังเสื่อมเร็ว ปวดหลังเรื้อรังร้าวลงไปขา บางครั้งอาจมีการอ่อนแรงร่วมด้วย

15.ปัจจัยทางจิตวิทยา: ความเครียด ความวิตกกังวล และภาวะซึมเศร้า สามารถทำให้เกิดอาการปวดหลังส่วนล่างได้ในผู้หญิงเมื่อความเครียด กล้ามเนื้อเกร็งตัวโดยที่เราไม่รู้ตัวและความกังวลจะกระตุ้นให้ร่างกายเกิดความเครียด ร่างกายจึงหลั่งสารเคมีแห่งความเครียดออกไปสู่กล้ามเนื้อ เมื่อเกิดการสะสมากๆ ก็จะเกิดอาการปวดตามมาได้ เช่น ปวดหลัง, ไหล่และคอ เป็นต้น

 

วิธีการรักษาอาการปวดหลังล่างในผู้หญิงจะขึ้นอยู่กับสาเหตุของโรค และอาจรวมถึงการใช้ยารักษาอาการปวด กายภาพบำบัด การออกกำลังกาย และการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม เช่น การลดน้ำหนักและเลิกสูบบุหรี่ ในบางกรณีอาจจำเป็นต้องผ่าตัด เช่น ในกรณีของการทำลายเส้นประสาทสันหลังหรือกระดูกสันหลังแตกอย่างรุนแรง จึงจำเป็นต้องปรึกษาแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับอาการและความกังวลที่อาจมีเสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการปวดหลังส่วนล่างได้

 

 

 

 

Frozen shoulder หรือภาวะไหล่ติด

Frozen shoulder หรือภาวะไหล่ติด

ไหล่ติดเป็นภาวะที่มีการขยับข้อไหล่ได้น้อยลง โดยเริ่มจากน้อยๆเช่นไม่สามารถยกไหล่ได้สุดหรือไขว้หลังได้ไม่สุด หากไม่ทำการรักษาอาการจะเป็นมากขึ้นจนขยับได้น้อยลงกว่าเดิมหรือไม่ได้เลย


สาเหตุของข้อไหล่ติด

  • สาเหตุหลักคือการอักเสบของเนื้อเยื่อที่อยู่รอบข้อไหล่ ซึ่งเรียกว่า เยื่อหุ้มข้อไหล่ (Capsule) โดยปกติเยื่อหุ้มข้อไหล่จะค่อนข้างยืดหยุ่นและสามารถขยายหรือหดตัวตามการขยับของข้อไหล่ แต่เมื่อเกิดภาวะข้อไหล่ยึดติดขึ้น เยื่อหุ้มจะมีการอักเสบและหดตัวจนไม่สามารถยืดหยุ่นได้เหมือนเดิม ทำให้ขยับข้อไหล่ได้ลดน้อยลง และมีอาการปวดร่วมด้วยเสมอ
  • การบาดเจ็บที่ข้อไหล่ การกระแทก การขยับข้อไหล่เป็นเวลานาน การอักเสบของกล้ามเนื้อเอ็นรอบข้อไหล่ สามารถนำไปสู่การอักเสบของเยื่อหุ้มข้อไหล่ได้ทั้งสิ้น ซึ่งส่งผลทำให้ผู้ป่วยมีภาวะข้อไหล่ยึดติดในที่สุด

อาการข้อไหล่ติด

เกิดอาการปวดเจ็บตื้อๆ โดยอาการปวดจะเพิ่มขึ้นเมื่อมีการเคลื่อนไหว อาการเด่นชัดคือไม่สามารถขยับข้อไหล่ได้ มีอาการปวดเวลานอนทับ หรือเวลากลางคืน อาการของโรคมี 3 ระยะ ได้แก่

ระยะที่ 1 ระยะเจ็บปวด อาการปวดจะค่อยๆเพิ่มขึ้น อาจปวดแม้ไม่ได้ทำกิจกรรม ระยะนี้มักปวดนาน 6 สัปดาห์ – 9 เดือน มุมการเคลื่อนไหวของข้อไหล่ลดลง

ระยะที่ 2 ระยะข้อยึด อาการปวดระยะแรกยังคงอยู่ แต่จะปวดลดลง การเคลื่อนไหวของข้อไหล่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยทั่วไประยะนี้อาจนาน 4 – 9 เดือน หรือนานกว่านี้

ระยะที่ 3 ระยะฟื้นตัว อาการปวดจะลดลง และการเคลื่อนไหวข้อไหล่จะค่อยๆดีขึ้นในช่วง 5 เดือน – 2 ปี แต่อย่างไรก็ตามหากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ทำการรักษา บางรายอาจเกิดภาวะขยับแขนหรือข้อไหล่ไม่ได้อย่างถาวร จนต้องเข้ารับการผ่าตัดเพื่อแก้ไขปัญหา

 

การรักษาทางกายภาพบำบัดในผู้ป่วยข้อไหล่ติด

  • ซักประวัติ ตรวจร่ายกายอย่างละเอียด และวินิจฉัยโรคโดยนักกายภาพบำบัด
  • TECAR Therapy หรือการรักษาด้วยคลื่นวิทยุ เหนี่ยวนำให้เกิดความร้อนลึกลงไปยังกล้ามเนื้อและเยื่อหุ้มข้อไหล่ที่มีปัญหา เพื่อซ่อมแซมและคลายกล้ามเนื้อรอบข้อไหล่ที่แข็งเกร็ง อีกทั้งยังเพิ่มความยืดหยุ่นให้แก่เยื่อหุ้มข้อไหล่ชั้นลึกอีกด้วย ทำให้รู้สึกผ่อนคลายและลดอาการปวด
  • Mobilization หรือการดัดดึงข้อต่อ ยืดกล้ามเนื้อรอบข้อไหล่ เพื่อเพิ่มการเคลื่อนไหวของข้อไหล่ เพิ่มความยืดหยุ่นของเยื่อหุ้มข้อไหล่และกล้ามเนื้อบริเวณนั้น
  • Shockwave Therapy หรือการรักษาด้วยคลื่นกระแทก ช่วยคลายกล้ามเนื้อที่เกร็งตัวเป็นจุดกดเจ็บ ร่วมทั้งสลายพังผืด เพิ่มการไหลเวียนของเลือด เร่งกระบวนการซ่อมแซมของกล้ามเนื้อและเส้นเอ็น
  • High Power Laser Therapy หรือเครื่องเลเซอร์กำลังสูง สามารถลดอาการปวดอักเสบเฉียบพลัน กระตุ้นการซ่อมแซมเส้นเอ็นและเนื้อเยื่อ
  • การยืดกล้ามเนื้อ
  • การออกกำลังกายหรือท่าบริหารเฉพาะบุคคล
  • Home program (ยืดกล้ามเนื้อด้วยตนเอง+ออกกำลังกาย+ปรับพฤติกรรมและท่าทาง) เพื่อลดการบาดเจ็บของข้อไหล่ซ้ำๆ และเพิ่มองศาการเคลื่อนไหวของข้อไหล่

 

Spinal Stenosis

โรคหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อนกดทับเส้นประสาท

โรคโพรงกระดูกสันหลังตีบแคบ (Spinal Stenosis) และ โรคหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อนกดทับเส้นประสาท หรือ Herniated Nucleus Pulposus(HNP)

  โรคโพรงกระดูกสันหลังตีบแคบ (Spinal Stenosis) เป็นโรคที่เกิดจากอาการเสื่อมของประดูกสันหลังหรือหมอนรองกระดูกสันหลัง ส่งผลให้เกิดพังผืดและกระดูกงอกทำให้โพรงเส้นประสาทแคบลง และบีบรัดบริเวณเส้นประสาทได้  มักพบอาการดังต่อไปนี้

-ปวดหลังร้าวลงสะโพกหรือขา

– มีอาการอ่อนแรงของขา

-มีอาการชาตาม ขาหรือเท้า

-อาการแย่ลงเมื่อเดินหรือยืนนานๆ หรือแอ่นหลังมากๆ

โรคหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อนกดทับเส้นประสาท หรือ Herniated Nucleus Pulposus(HNP)

โรคหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อน โรคที่เกิดจากการฉีกขาดของเยื้อหุ้มหมอนรองกระดูกสันหลังชั้นนอก ทำให้สารน้ำหรือส่วนไส้ชั้นในหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อนหรือปลิ้นออกมากดทับเส้นประสาทไขสันหลัง

อาการของโรคหมอนรองกระดูกเคลื่อนจะแตกต่างกันออกไปตามตำแหน่งของเส้นประสาทที่ถูกกด โดยมีอาการหลักๆ ดังนี้

-ปวดร้าวตามเส้นประสาท

-ปวดหลังส่วนล่าง

-ชาตามเส้นประสาทที่ถูกกดทับ

-อ่อนแรงตามเส้นประสาทที่ถูกกดทับ

-งอตัวลำบาก งอหลังได้ไม่สุด

-ปวดเมื่อทำกิจกรรม เช่น ออกแรง ไอ จาม เบ่ง

-ปวดมากเวลานั่งนายๆ เช่น นั่งขับรถ

ปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรค

  • อายุที่เพิ่มมากขึ้น
  • พฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น ยกของหนัก ยกของผิดท่า เดินเยอะ
  • การบาดเจ็บบริเวณกระดูกสันหลัง เช่น การเกิดอุบัติเหตุที่รุนแรง
  • เนื้องอกหรือมะเร็งที่โตจนไปเบียดช่องไขสันหลัง

การรักษาทางกายภาพบำบัด

สามารถรักษาทางกายภาพบำบัดได้เพื่อรักษาอาการให้ดีขึ้น หรือป้องกันไม่ให้เกิดความรุนแรงของโรคมากกว่าเดิม หรือในผู้ที่ไม่อยากผ่าตัด

การใช้เครื่องมือทางกายภาพบำบัด เช่น

 การดึง หรือ Traction ช่วยยืดกล้ามเนื้อเพื่อคลายกล้ามเนื้อที่มีการเกร็งตัว ลดแรงกดที่ทำต่อข้อต่อของกระดูกคอหรือหลัง  ลดการกดทับของเส้นประสาท โดยการดึงทำให้ช่องว่างระหว่างของกระดูกสันหลังกว้างขึ้น ลดแรงกดบนหมอนรองกระดูกสันหลังช่วยให้หมอนรองกระดูกกลับเข้าที่ได้ โดยทำให้ช่องว่างระหว่างกระดูกสันหลังกว้างขึ้น ส่งผลให้อาการปวดหรือชาลดลงได้

เครื่องกระตุ้นสนามแม่เหล็ก หรือ Peripheral Magnetic Stimulation (PMS)  เครื่องกระตุ้นระบบประสาทด้วยการใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่สามารถกระตุ้นทะลุผ่านเสื้อผ้า ลงไปถึงเนื้อเยื่อและกระดูกได้ลึกประมาณ 10 ซม. คลื่นจาก PMS จะส่งคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ไปกระตุ้นที่เส้นประสาทโดยตรง มีการกระตุ้นเนื้อเยื่อบริเวณที่ปวด ทำให้เกิดการไหลเวียนโลหิตบริเวณกล้ามเนื้อดียิ่งขึ้น รวมถึงส่งสัญญาณคลื่นแม่เหล็กกระตุ้นแขน ขา บริเวณที่มีอาการชาหรืออ่อนแรง เร่งการฟื้นตัวของเส้นประสาทที่บาดเจ็บได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยรักษาอาการเจ็บปวด ได้ทั้งปวดเฉียบพลันและเรื้อรัง และยังมีกลไกการรักษาเป็นการกระตุ้นให้มีการซ่อมสร้างของเนื้อเยื่ออีกด้วย

2.Mobilization เป็นการเคลื่อนไหวข้อต่อโดยให้แรงที่เป็นจังหวะซ้ำๆในช่วงการเคลื่อนไหวของข้อต่อที่มีอาการติด หรือถูกจำกัดการเคลื่อนไหว จะใช้รักษาในกรณีที่ตรวจเจอว่ามีข้อติด (ดัดดึงข้อต่อ) หรือมีกล้ามเนื้อที่ต้องใช้มือช่วยคลายความตึง
3.การออกกำลังกายเฉพาะบุคคล เพื่อกระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อ เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว การยืดเหยียดกล้ามเนื้อ การบริหารเส้นประสาท
4.Home Program และการให้คำแนะนำต่างๆ โดยให้ท่าบริหารเฉพาะบุคคล และการแนะนำในการปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตต่างเพื่อป้องกันการเกิดความรุนแรงของโรคที่เพิ่มมากขึ้น

ปวดหลังขาชา

ปวดหลัง ขาชา เกิดจากอะไร

คุณเคยตกใจเมื่อมีอาการปวดหลัง ขาชา แล้วไม่รู้ว่าเกิดจากอะไรหรือไม่

 

การปวดหลังและขาชาสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ โดยทั่วไปแล้วอาการนี้เกิดจากปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลต่อระบบกล้ามเนื้อและระบบประสาทในส่วนของหลังและขา

ตัวอย่างของสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการปวดหลังและขาชาได้แก่

  • โรคหลอดเลือดสมองที่ส่งผลกระทบต่อเส้นประสาทที่อยู่ใกล้เคียงกับหลังและขา
  • โรคกระดูกพรุนหลัง เช่น กระดูกอ่อน (osteoporosis) หรือเส้นเอ็นผลึก (herniated disc) ที่ส่งผลกระทบต่อประสาทส่วนกลางและส่วนประสาทส่วนย่อยของหลังและขา
  • การบีบตัวของเส้นประสาทในหลังและขา ซึ่งอาจเกิดจากการเปลี่ยนท่านั่งโดยไม่ถูกต้องหรือนั่งนานเวลา
  • ความเครียดหรือภาวะสุขภาพจิตที่ทำให้กล้ามเนื้อหลังและขาอักเสบ
  • อาการแพ้ยาหรือภูมิแพ้ที่ทำให้เกิดอาการอักเสบในระบบประสาท
  • อาการปวดเมื่อยในกล้ามเนื้อหลังและขาที่เกิดจากการใช้กล้ามเนื้อมากเกินไปหรือการทำงานหนักในเวลานาน
  • การใช้ยาแก้ปวด เช่น พาราเซตามอล (Paracetamol) หรือนอร์ทริพทานอล (NSAIDs) เพื่อลดอาการปวดและอักเสบในเวลาชั่วคราว
  • การทำกิจกรรมกายภาพบำบัด เช่น การเยื้องหลัง การยืดกล้ามเนื้อ การฝึกหลังและขา เพื่อเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและเพิ่มความยืดหยุ่นของร่างกาย
  • การใช้เครื่องอำพันไฟฟ้า หรือ TENS (Transcutaneous Electrical Nerve Stimulation) เพื่อลดอาการปวดและอักเสบในส่วนของหลังและขา
  • การแพทย์แผนไทย เช่น การนวดและบริหารจุดต่างๆ บนร่างกาย เพื่อเพิ่มการไหลเวียนของเลือดและป้องกันการอักเสบในส่วนต่างๆ ของร่างกาย
  • การรักษาโรคพื้นฐานที่ส่งผลต่ออาการปวดหลังและขาชา เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณมีอาการปวดหลังและขาชาเป็นเวลานานหรือมีอาการรุนแรง คุณควรพบแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาที่เหมาะสมต่อไป

ปวดเข่า เข่าบวม วิธีรักษา

แก้ปวดเข่า รักษา

การปวดเข่าและเข่าบวมอาจเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น การบาดเจ็บ เป็นพาหะ การออกกำลังกายหนัก หรือภาวะอักเสบของเข่า การรักษาที่ถูกต้องจะขึ้นอยู่กับสาเหตุและระดับความรุนแรงของอาการ ดังนั้นการปรึกษาแพทย์เพื่อการวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้องจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง

อย่างไรก็ตาม มีบางวิธีที่สามารถช่วยบรรเทาอาการปวดเข่าและเข่าบวมได้ดังนี้

  1. พักผ่อนและประคบเย็น พักผ่อนและไม่ให้ใช้เข่าเกินไป โดยเฉพาะหลังจากมีการบาดเจ็บหรือออกกำลังกายหนัก ประคบเย็นบริเวณเข่าด้วยน้ำแข็งหรือกระดาษชำระที่แช่น้ำเย็นได้ช่วยลดอาการบวมและปวดเข่า
  2. การออกกำลังกายแบบอ่อนๆ การออกกำลังกายแบบอ่อนๆเช่น การเดินเร็วหรือการวิ่งบนระบบวิ่งอย่างอ่อนๆ ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและเข่า
  3. การใช้สายรัดเข่าและอุปกรณ์ช่วยเหลือ การใช้สายรัดเข่าหรืออุปกรณ์ช่วยเหลืออื่นๆ เช่น เข่าเทป หรือเข่าเสริม ช่วยลดการเคลื่อนไหวของเข่าและบรรเทาอาการปวดเข่า

    การบริหารกล้ามเนื้อต้นขาเป็นวิธีที่ดีในการป้องกันและบรรเทาอาการปวดเข่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับเข่า ดังนี้

    1. กางเข่าเป็นมุม 90 องศา
    • นั่งบนเก้าอี้ หรือพื้น
    • ยกเท้าขึ้นมาให้ตรงกับเข่า
    • ยืดเท้าออกจากก้นเท้าและดันเข่าลงไปยังพื้น ค้างไว้สักครู่ แล้วค่อยๆ ยกเข่าขึ้น
    • ทำซ้ำจนครบ 10 ครั้ง
    1. การยกเท้าขึ้นลง
    • นั่งบนเก้าอี้
    • ยกเท้าขึ้นจนสูงขึ้นไปตรงกับเข่า
    • ค้างไว้สักครู่แล้วค่อยๆ ลงเท้าลงพื้น
    • ทำซ้ำจนครบ 10 ครั้ง
    1. การเดินเหยียดขา
    • ยืนตัวตรง
    • เหยียดขาทั้งสองข้าง และยกสูงขึ้นไปสูงสุดที่เป็นไปได้
    • ค้างไว้สักครู่แล้วค่อยๆ ลดขาลง
    • ทำซ้ำจนครบ 10 ครั้ง
    1. การยกส้นเท้าขึ้น-ลง
    • นั่งบนเก้าอี้
    • ยกส้นเท้าขึ้นไปจนสูงขึ้นไปสูงสุดที่เป็นไปได้
    • ค้างไว้สักครู่แล้วค่อยๆ ลดส้นเท้าลง
    • ทำซ้ำจนครบ 10 ครั้ง

อาการไหล่ติด วิธีบริหาร และการรักษา

ไหล่ติดหรือ Frozen shoulder เป็นภาวะที่เกิดจากการอักเสบของเนื้อเยื่อที่อยู่รอบติดต่อกับข้อไหล่ เช่น กล้ามเนื้อ ถุงลมไหล่ และเกล็ดกระดูก สาเหตุของภาวะนี้ยังไม่เป็นที่ทราบอย่างแน่ชัด แต่มักเกิดจากการบาดเจ็บ อักเสบ หรือการใช้แขนหรือไหล่ในลักษณะที่ซ้ำซาก เช่น การทำงานที่ต้องสลับมือหรืองานที่ต้องใช้แขนหรือไหล่ในระยะยาวๆ โรคเบาหวาน และภูมิคุ้มกันบกพร่องก็เป็นสาเหตุของการเกิดภาวะนี้ได้

อาการของ Frozen shoulder ประกอบด้วย ปวดไหล่ ติดขัด หรือแขนไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ การวินิจฉัยการติดไหล่จะต้องพิจารณาจากอาการที่ผู้ป่วยเล่า รวมถึงการตรวจสอบจากแพทย์ ด้วยการวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของไหล่ และการทำภาพเอกซเรย์ หรือการใช้ MRI เพื่อวินิจฉัยขนาดของเนื้อเยื่อที่อยู่รอบติดต่อกับข้อไหล่

อาการของ Frozen shoulder ประกอบด้วย 3 ระยะ คือ

  1. ระยะแรก (ระยะอักเสบ) – ปวดไหล่เฉียบพลัน แขนเสียว และเลือดไหลออกมากขึ้น
  2. ระยะกลาง (ระยะติด) – แขนและไหล่หย่อน ไหล่ขยับได้น้อยลง ปวดเมื่อเคลื่อนไหว
  3. ระยะสุดท้าย (ระยะฟื้นตัว) – เริ่มเคลื่อนไหวได้มากขึ้น แต่ยังมีความจำกัด ปวดเมื่อเคลื่อนไหว

วิธีการรักษาโรคไหล่ติด (frozen shoulder) เนื่องจากเป็นภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อรอบข้อไหล่หดตัวและกดข้อไหล่เข้าด้วยกัน ทำให้เกิดอาการปวดและข้อไหล่หมุนหรือยกแขนไม่ได้ โรคนี้ไม่มีวิธีรักษาที่รวดเร็ว แต่มีขั้นตอนการรักษาตามด้านล่างนี้ที่สามารถช่วยบรรเทาอาการได้:

  1. การออกกำลังกาย: ออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อรอบข้อไหล่และปรับปรุงการหมุนและยกแขน คุณควรปฏิบัติการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและหยุดทันทีหากมีอาการปวด
  2. การฟื้นฟูและกายภาพบำบัด: การฝึกซ้อมและกายภาพบำบัดเพื่อช่วยเพิ่มการเคลื่อนไหวและลดอาการปวด การฝึกซ้อมที่แนะนำสำหรับโรคไหล่ติดรวมถึงการเหยียดตัว, การยกแขนที่ต่างกัน, การหมุนและการดันแขนขึ้น-ลง
  3. การใช้ยาและการฉีดสาร: สารแค็ปซูลไขมันอิ่มตัว (capsaicin) หรือสารสลายน้ำตาล (corticosteroid) อาจช่วยลดอาการปวดและอักเสบ อย่างไรก็ตาม การใช้ยาหรือการฉีดสารนี้อาจมีผลข้างเคียงบางอย่าง
  4. การผ่าตัด: กรณีที่รักษาด้วยวิธีอื่นไม่ได้ผล หรืออาการแย่ลง อาจต้องพิจารณาใช้วิธีการนี้ และอาจเป็นวิธีการสุดท้ายในการรักษา

 

กายภาพบำบัดเป็นอีกหนึ่งวิธีรักษาโรคไหล่ติด (frozen shoulder) ที่ได้รับการแนะนำอย่างกว้างขวาง ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อรอบข้อไหล่ ช่วยลดอาการปวดและเพิ่มการเคลื่อนไหวของข้อไหล่

กายภาพบำบัดสำหรับโรคไหล่ติดสามารถประกอบด้วยกิจกรรมต่างๆ ดังนี้

  1. การฟื้นฟูกล้ามเนื้อ: ปฏิบัติการฝึกซ้อมกล้ามเนื้อเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อรอบข้อไหล่ การฝึกซ้อมในรูปแบบการยืดและการกระตุ้นเส้นประสาทสามารถช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของข้อไหล่ได้
  2. การบริหารกล้ามเนื้อ: การฝึกซ้อมกล้ามเนื้อโดยเฉพาะในบริเวณไหล่ เช่น การยกแขนขึ้น-ลง การหมุนแขน หรือการดันแขนขึ้น-ลง เป็นต้น
  3. การกายภาพบำบัด: ปฏิบัติการกายภาพบำบัดโดยมีผู้ช่วยฝึกซ้อม อาจประกอบด้วยการอบรมเทคนิคการฝึกซ้อม การบริหารจัดการอาการปวด การใช้วิธีรักษาอื่นๆ เช่น การใช้แค็ปซูลไขมันอิ่มตัว (capsaicin) หรือสารสลายน้ำตาล (corticosteroid) อาการไหล่ติดสามารถใช้เครื่องมือให้การรักษาทางกายภาพ เช่น TECAR Therapy พร้อมกับการ Mobilization Technique เพื่อยืด และสร้างองศาการขยับข้อต่อได้เพิ่มมากขึ้น
  4. การนวด: การนวดเพื่อช่วยปรับปรุงการไหลเวียนเลือดและระบบลมหายใจ ที่ส่วนขอ