คลินิกกายภาพบำบัด บางพลัด MRT สิรินธร

สาเหตุของการปวดเข่า (Knee pain)

ปวดเข่าเป็นอาการที่สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ดังนี้:

  1.       อุบัติเหตุ: เป็นอีกสาเหตุที่ทำให้ข้อเข่าได้รับบาดเจ็บ เช่น การตกหรือกระแทกข้อเข่า, การเล่นกีฬาที่เกิดการกระแทก เป็นต้น
  2.     ข้อเข่าเสื่อม (Osteoarthritis): เป็นโรคที่เกิดจากการสึกกร่อนของกล้ามเนื้อและกระดูกข้อเข่า ทำให้ข้อเข่าอ่อนแรงและปวด
  3.     เข่าด้านในอักเสบ(Knee Bursitis): การอักเสบของถุงน้ำในข้อเข่าสามารถทำให้เกิดการปวดเข่า
  4.       เอ็นหัวเข่าอักเสบ (Knee Tendonitis): การอักเสบของเส้นเอ็นที่เชื่อมต่อกล้ามเนื้อกับกระดูกข้อเข่า
  5.       การบิดเข่าหรือเคล็ดเข่า (Knee Sprain): การบิดหรือการเคล็ดของข้อเข่าสามารถทำให้เกิดการบาดเจ็บและปวดเข่าได้
  6.       เก๊าท์ (Gout):โรคเก๊าท์ (Gout) เป็นโรคที่เกิดขึ้นเมื่อมีการสะสมของกรดยูริกในร่างกาย โรคนี้มักเกิดขึ้นในข้อต่างๆ ของร่างกาย แต่มักพบมากที่สุดในข้อปลายเท้า (big toe) โดยส่วนใหญ่เกิดขึ้นที่ข้อเท้า
  7.       การบาดเจ็บของเส้นเอ็นที่อยู่บริเวณต้นขาด้านนอกเชื่อมกล้ามเนื้อบริเวณด้านข้างและกล้ามเนื้อก้นด้านข้างยาวลงมาผ่านเข่า (Iliotibial Band Syndrome): การใช้งานมากของเส้นเอ็นอาจทำให้เกิดการอักเสบและปวดเข่า
  8.       โรคอื่นๆ: การปวดเข่ายังสามารถเกิดขึ้นจากโรคอื่นๆ เช่น โรคข้อเข่าโดยเฉพาะ (Rheumatoid Arthritis), การติดเชื้อ, หรืออาการอื่นๆ ที่มีผลต่อข้อเข่า

การรักษาอาการปวดเข่าจะขึ้นอยู่กับสาเหตุของอาการ การปรึกษาแพทย์เป็นสิ่งสำคัญเพื่อวินิจฉัยและรับคำแนะนำเกี่ยวกับการรักษาที่เหมาะสม เช่น การพบแพทย์อาจแนะนำการฝึกหัดกล้ามเนื้อและกำจัดอาการอักเสบด้วยยาต้านอักเสบหรือรักษาแบบศัลยกรรมเมื่อจำเป็น

การรักษาปวดเข่าสามารถทำได้หลายวิธี เช่น

  1. กายภาพบำบัด: แพทย์หรือนักกายภาพบำบัดจะสามารถตรวจประเมินร่างกาย และให้การรักษาทางกายภาพบำบัด  รวมถึงแนะนำการทำกิจกรรมที่เหมาะสมเพื่อป้องกันการปวดเข่าที่เพิ่มมากขึ้นและเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อข้อเข่าเพื่อลดแรงกระทำต่อข้อเข่าขณะทำกิจกรรม หรือกิจวัตรประจำวันได้ 
  2. การใช้ยา: การใช้ยาลดปวด เช่น ยาระงับปวด (pain relievers) หรือยาต้านอักเสบ (anti-inflammatory drugs) อาจช่วยลดอาการปวดเข่าและการอักเสบของข้อเข่า
  3. การสวมอุปกรณ์ช่วยพยุงข้อเข่า : การใช้เข่าเสริมหรืออุปกรณ์ช่วยพยุงอื่นๆ เช่น knee support สามารถช่วยลดแรงที่กระทำต่อข้อเข่าที่มากเกินไป ช่วยพยุงข้อเข่าไม่ให้มีการบาดเจ็บซ้ำในผู้ที่ได้รับการบาดเจ็บบริเวณข้อเข่า หรือช่วยกระชับข้อเข่า เพิ่มความมั่นคงให้กับข้อเข่า และบรรเทาอาการปวดได้
  4. การแก้ไขรูปแบบการเดิน: หากรูปแบบการเดินของคุณไม่ถูกต้อง กายภาพบำบัดอาจช่วยปรับปรุงรูปแบบการเดินเพื่อลดแรงที่กระทำต่อข้อเข่าได้ 
  5. การผ่าตัด: ในกรณีที่มีความเสี่ยงสูงหรืออาการรุนแรงมาก แพทย์อาจแนะนำการผ่าตัดข้อเข่าเพื่อซ่อมแซมหรือใส่อุปกรณ์เทียมแทนข้อเข่าที่เสื่อมสภาพ
  6. การบริหารสุขภาพรวม: การรักษาสุขภาพทั่วไป เช่น การควบคุมน้ำหนัก, การออกกำลังกายอย่างเหมาะสม, และการบริหารสตรีอย่างดี สามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดปัญหาข้อเข่าได้

การรักษาปวดเข่าขึ้นอยู่กับสาเหตุและระดับความรุนแรงของปัญหา ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและแผนการรักษาที่เหมาะสมสำหรับอาการปวดของแต่ละบุคคลและควรรักษาตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดเพื่อป้องกันอันตรายและฟื้นฟูสภาพข้อเข่าให้ดีขึ้นได้อย่างเหมาะสม 

การทำกายภาพบำบัดถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ที่ไม่อยากผ่าตัด ด้วยเครื่องมือทางกายภาพบำบัดไม่ว่าจะเป็น TECAR,Shockwave,High power laser, Ultrasound,PMS,Electrical Stimulation รวมถึง Manual technique ต่างๆ  และคำแนะนำการปฏิบัติท่าทางที่เหมาะสม เพื่อบรรเทาอาการปวด ป้องกันการบาดเจ็บของข้อเข่าที่อาจเพิ่มขึ้นจากการใช้ชีวิตประจำวัน และฟื้นฟูกล้ามเนื้อให้แข็งแรงมากขึ้น 

ติดต่อเรา

Tel:098 225 2255

Facebook:Bangkok pain clinic คลินิกกายภาพบำบัด

Gmail:bangkokpainclinic@gmail.com

Website:bangkokpainclinic.com

 

 

อันตรายที่แฝงมากับรองเท้าส้นสูง

อันตรายที่แฝงมากับรองเท้าส้นสูง

ปัจจุบันแฟชั่นการแต่งตัวให้ดูดีเป็นสิ่งสำคัญ สาวๆในยุคสมัยนี้ให้ความสำคัญกับบุคลิกการแต่งตัวเป็นอันดับต้นๆ ก่อนออกจากบ้านต้องดูดี ซึ่งขาดไม่ได้เลยคือรองเท้าส้นสูงคู่ใจของใครหลายๆคน ที่จะเพิ่มความมั่นใจ รูปลักษณ์ให้ดูดีดูสง่า ซึ่งลืมไปว่าการสวมรองเท้าที่ดีและถูกต้องนั้นก็สำคัญเช่นกัน หากสวมรองเท้าส้นสูงทุกๆวันเป็นระยะเวลานานๆ  อาจจะส่งผลกระทบต่อร่างกายของเราโดยที่ไม่รู้ตัว

 

ข้อเสีย

1.ปวดเท้า  การสวมรองเท้าส้นสูงทำให้ทรงตัวลำบาก ลำตัวโน้มไปด้านหน้าส่งผลให้กระดูกเท้าต้องรับน้ำหนัก หากถูกบีบรัดจนเกินไปอาจส่งผลให้กระดูกและเส้นประสาทบริเวณฝ่าเท้าเกิดการอักเสบได้

2.ปวดน่องเอ็นร้อยหวายตึง  ในการสวมใส่รองเท้าเหมือนเป็นการยืนเขย่าตลอดเวลาจึงส่งผลให้บริเวณที่เป็นเอ็นร้อยหวายนั้นตึง เป็นสาเหตุที่ทำให้ปวดน่อง หรือเป็นตะคริว

3.ปวดเข่า  เสี่ยงเป็นโรคเข่าเสื่อมการเดินบนส้นสูงนั้นจะเกิดแรงกระแทกที่บริเวณข้อเข่า เข่าเป็นกระดูกข้อต่อที่ใหญ่ที่สุด ทำให้การรองรับความตึงเป็นระยะเวลานานนั้นอาจจะทำให้น้ำในไขข้อกระดูกลดลงจนเกิดเป็นรอยแตกทำให้ข้อเข่าเสื่อมและเสี่ยงต่อการเป็นโรคกระดุกพรุนได้

4.ปวดหลัง  การใส่ส้นสูงทำให้ช่วงลำตัวแอ่นไปด้านหน้า ซึ่งกระดูกสันหลังจะคดเป็นรูปตัว S หากเป็นในระยะเวลานานๆ ก็จะมีปัญหาปวดหลังตามมา

5.อุบัติเหตุ  การสวมรองเท้าส้นสุงนั้นมีโอกาสทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย เพราะต้องทรงตัวยืนบนรองเท้าที่มีความมั่นคงไม่แข็งแรง หากพื้นทางเดินขรุขระอาจะทำให้สะดุดหกล้มหรือข้อเท้าพลิกได้

6.โครงสร้างเท้าผิดรูป  การใส่รองเท้าส้นสูงที่บีบรัดแน่นเท้า เช่น รองเท้าที่มีหัวแคบ เป็นสายรัดหน้าเท้าของเราหากใส่เป็นเวลานานๆ กระดูกนิ้วเท้าที่โดนบีบรัดเป็นเวลานานก็จะทำให้ผิดรูปได้

 

 

 

ทำความรู้จักกับOffice syndrome

Office Syndrome ส่งผลต่อร่างกายของคุณอย่างไร

ในโลกปัจจุบันที่หมุนไปอย่างรวดเร็ว การนั่งที่โต๊ะเป็นเวลานานๆ กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเราอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าคุณจะเป็นนักเรียน มืออาชีพ หรือฟรีแลนซ์ การใช้เวลาหลายชั่วโมงอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์กลายเป็นเรื่องปกติ

มารู้จักโรคยอดฮิต ออฟฟิศซินโดรม

ออฟฟิศซินโดรม (Office Syndrome) คือ กลุ่มอาการปวดกล้ามเนื้อและเยื่อพังผืด (Myofascial Pain Syndrome) เนื่องมาจากรูปแบบการทำงานที่ใช้กล้ามเนื้อมัดเดิมซ้ำๆ เป็นระยะเวลานานต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลให้เกิดอาการกล้ามเนื้ออักเสบและปวดเมื่อยตามอวัยวะต่างๆ โดยเฉพาะบริเวณ คอ หลัง ไหล่ บ่า แขน หรือข้อมือ ซึ่งอาการปวดดังกล่าวอาจลุกลามจนกลายเป็นอาการปวดเรื้อรัง

 

ออฟฟิศซินโดรมเกิดได้อย่างไร

โดยมีสาเหตุและปัจจัยที่ทำให้มีโอกาสเกิดกลุ่มอาการดังกล่าว ได้แก่

  • ท่าทางการทำงาน (Poster) เช่น ลักษณะท่านั่งทำงาน การวางมือ ศอก บนโต๊ะทำงานที่ไม่ถูกต้อง
  • การบาดเจ็บจากงานซ้ำ ๆ (Cumulative Trauma Disorders) หรือระยะเวลาในการทำงานที่มากเกินไป ทำให้ร่างกายเกิดการล้า เช่น การใช้ข้อมือซ้ำ ๆ ในการใช้เมาส์ อาจทำให้เกิดการอักเสบของเอ็นบริเวณข้อมือ หรือพังผืดเส้นประสาทบริเวณข้อมือได้
  • สิ่งแวดล้อมในการทำงานที่ไม่เหมาะสม เช่น ลักษณะโต๊ะทำงาน หน้าจอคอมพิวเตอร์ แสงสว่างในห้องทำงาน

 

เช็คอาการออฟฟิศซินโดรม

ปวดกล้ามเนื้อเฉพาะส่วนใดส่วนหนึ่ง มักมีอาการปวดแบบกว้างๆ ๆไม่สามารถชี้จุดหรือระบุตำแหน่งที่ปวดได้อย่างชัดเจน เช่น คอ บ่า ไหล่ สะบัก

ปวดศีรษะเรื้อรัง หรือในบางครั้งมีอาการปวดหัวไมเกรนร่วมด้วย ซึ่งมีสาเหตุมาจากความเครียดหรือการที่ใช้สายตาเป็นระยะเวลานาน

ปวดหลังเรื้อรัง เป็นอาการที่พบบ่อยในผู้ป่วยโรคออฟฟิศซินโดรม เนื่องจากการนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์หลายชั่วโมง นั่งไม่ถูกท่า นั่งหลังค้อม อาจทำให้กล้ามเนื้อต้นคอ เมื่อย เกร็งอยู่ตลอด รวมถึงงานที่ต้องยืนนานๆ โดยเฉพาะคุณผู้หญิงที่ใส่ส้นสูง

ปวดตึงที่ขา หรือเหน็บชา อาการชาเกิดจากการนั่งนานๆ ทำให้เส้นเลือดดำถูกกดทับและส่งผลให้เลือดไหลเวียนผิดปกติ

ปวดตา ตาพร่า เนื่องจากต้องมีการมองหน้าจอคอมพิวเตอร์นานๆ หรือใช้สายตาอย่างหนักเป็นเวลานาน

มือชา นิ้วล็อค ปวดข้อมือ เพราะการใช้คอมพิวเตอร์จับเมาส์ในท่าเดิมๆ นาน ทำให้กล้ามเนื้อกดทับเส้นประสาทและเส้นเอ็นจนอักเสบ เกิดพังผืดทำให้ปวดปลายประสาท นิ้วหรือข้อมือล็อคได้

การรักษาออฟฟิศซินโดรม

การรักษาโรคออฟฟิศซินโดรมมีด้วยกันหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการรักษาด้วยยา การปรับสภาพแวดล้อมในการทำงาน   การออกกำลังกายเพื่อรักษาอาการปวด การทำกายภาพบำบัดด้วยเครื่องมือกายภาพบำบัด

กายภาพบำบัดช่วยได้อย่างไร

 

อย่างไรก็ตาม การใช้ชีวิตอยู่ประจำนี้อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพร่างกายและจิตใจของเราได้ ออฟฟิศซินโดรม หรือที่รู้จักในชื่อคอมพิวเตอร์ซินโดรม เป็นภาวะที่ส่งผลต่อผู้ที่นั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพต่างๆ เช่น ปวดคอ ปวดหลัง ปวดศีรษะ และอื่นๆ โชคดีที่การทำกายภาพบำบัดสามารถช่วยบรรเทาอาการออฟฟิศซินโดรมและทำให้คุณภาพชีวิตโดยรวมของคุณดีขึ้นได้ ในบทความนี้ เราจะพูดถึงว่าออฟฟิศซินโดรมส่งผลต่อร่างกายของคุณอย่างไร และกายภาพบำบัดสามารถช่วยให้คุณเอาชนะอาการนี้ได้อย่างไร ดังนั้น นั่งลงและอ่านต่อเพื่อค้นพบวิธีที่คุณสามารถรักษาสุขภาพให้แข็งแรงและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพแม้จะใช้เวลาอยู่ที่โต๊ะทำงานเป็นเวลานาน

 

 

OFFICE SYNDROME

Office syndrome กับ กายภาพบำบัด

Office Syndrome ส่งผลต่อร่างกายของคุณอย่างไร และกายภาพบำบัดช่วยได้อย่างไร

ในโลกปัจจุบันที่หมุนไปอย่างรวดเร็ว การนั่งที่โต๊ะเป็นเวลานานๆ กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเราอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าคุณจะเป็นนักเรียน มืออาชีพ หรือฟรีแลนซ์ การใช้เวลาหลายชั่วโมงอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์กลายเป็นเรื่องปกติ อย่างไรก็ตาม การใช้ชีวิตอยู่ประจำนี้อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพร่างกายและจิตใจของเราได้ ออฟฟิศซินโดรม หรือที่รู้จักในชื่อคอมพิวเตอร์ซินโดรม เป็นภาวะที่ส่งผลต่อผู้ที่นั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพต่างๆ เช่น ปวดคอ ปวดหลัง ปวดศีรษะ และอื่นๆ โชคดีที่การทำกายภาพบำบัดสามารถช่วยบรรเทาอาการออฟฟิศซินโดรมและทำให้คุณภาพชีวิตโดยรวมของคุณดีขึ้นได้ ในบทความนี้ เราจะพูดถึงว่าออฟฟิศซินโดรมส่งผลต่อร่างกายของคุณอย่างไร และกายภาพบำบัดสามารถช่วยให้คุณเอาชนะอาการนี้ได้อย่างไร ดังนั้น นั่งลงและอ่านต่อเพื่อค้นพบวิธีที่คุณสามารถรักษาสุขภาพให้แข็งแรงและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพแม้จะใช้เวลาอยู่ที่โต๊ะทำงานเป็นเวลานาน


สาเหตุของออฟฟิศซินโดรม

ออฟฟิศซินโดรม เกิดจากการนั่งทำงานนานๆ และท่าทางที่ไม่ถูกต้อง เมื่อคุณนั่งหน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน คุณมักจะโน้มตัวไปข้างหน้า หลังค่อมไหล่ และเอียงศีรษะไปข้างหน้า สิ่งนี้ทำให้กล้ามเนื้อคอ หลัง และไหล่ของคุณตึงมาก นอกจากนี้ การนั่งอยู่ในท่าเดิมเป็นเวลานานอาจทำให้เลือดไหลเวียนและออกซิเจนไปเลี้ยงกล้ามเนื้อลดลง ทำให้เกิดอาการปวดตึง
อีกสาเหตุหนึ่งของออฟฟิศซินโดรมคือการใช้คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ดิจิทัลอื่นๆ แสงสีฟ้าที่ปล่อยออกมาจากอุปกรณ์เหล่านี้สามารถรบกวนรูปแบบการนอนหลับของคุณ ซึ่งนำไปสู่ความเหนื่อยล้าและเหนื่อยล้า นอกจากนี้ การจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์นานหลายชั่วโมงอาจทำให้ปวดตา ปวดศีรษะ และตาแห้งได้
ในที่สุด การใช้ชีวิตแบบนั่งนิ่งอาจทำให้น้ำหนักขึ้นและเป็นโรคอ้วนได้ เมื่อคุณนั่งเป็นเวลานาน คุณจะเผาผลาญแคลอรี่ได้น้อยกว่าเมื่อคุณยืนหรือเคลื่อนที่ไปรอบๆ เมื่อเวลาผ่านไป สิ่งนี้สามารถนำไปสู่การสะสมของไขมันในร่างกายและความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับโรคอ้วน

อาการของออฟฟิศซินโดรม

อาการของออฟฟิศซินโดรมอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล อย่างไรก็ตาม อาการที่พบบ่อย ได้แก่ ปวดคอ ปวดหลัง ปวดไหล่ และปวดศีรษะ นอกจากนี้ คุณอาจมีอาการปวดข้อมือ มือชา และกลุ่มอาการคาร์พัลทันเนล
นอกจากนี้ ออฟฟิศซินโดรมยังทำให้ปวดตา ตาพร่ามัว และตาแห้งอีกด้วย นอกจากนี้ คุณยังอาจรู้สึกเหนื่อยล้า เหนื่อยล้า และมีสมาธิลำบากอีกด้วย ในบางกรณี ออฟฟิศซินโดรมสามารถนำไปสู่ภาวะซึมเศร้า วิตกกังวล และปัญหาสุขภาพจิตอื่นๆ

 

 

กล้ามเนื้ออักเสบ

วิธีบรรเทาอาการกล้ามเนื้ออักเสบตามธรรมชาติ: เคล็ดลับและคำแนะนำเพื่อการบรรเทาอาการอย่างรวดเร็ว

กล้ามเนื้ออักเสบเป็นปัญหาทั่วไปที่ส่งผลต่อคนทุกวัยและทุกระดับความฟิต ไม่ว่าคุณจะเป็นนักกีฬาหรือเพียงแค่คนที่ใช้เวลาส่วนใหญ่นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน การอักเสบของกล้ามเนื้ออาจเป็นภาวะที่เจ็บปวดและน่าหงุดหงิดที่อาจรบกวนชีวิตประจำวันของคุณ โชคดีที่มีวิธีการรักษาตามธรรมชาติมากมายที่สามารถช่วยบรรเทาอาการอักเสบของกล้ามเนื้อและบรรเทาได้อย่างรวดเร็ว ตั้งแต่การรวมอาหารต้านการอักเสบเข้ากับอาหารของคุณไปจนถึงการฝึกโยคะและการทำสมาธิ มีวิธีง่ายๆ และมีประสิทธิภาพมากมายในการลดการอักเสบและส่งเสริมการรักษา ในบทความนี้ เราจะสำรวจเคล็ดลับและกลเม็ดยอดนิยมบางประการในการบรรเทาอาการอักเสบของกล้ามเนื้อตามธรรมชาติ เพื่อให้คุณกลับมารู้สึกดีที่สุดได้อีกครั้ง ดังนั้น ไม่ว่าคุณกำลังเผชิญกับอาการเจ็บกล้ามเนื้อจากการออกกำลังกายอย่างหนักหรืออาการอักเสบเรื้อรังเนื่องจากสภาวะทางการแพทย์ โปรดอ่านต่อเพื่อค้นพบกลยุทธ์ที่เป็นประโยชน์ในการบรรเทาอย่างรวดเร็ว


ทำความเข้าใจเกี่ยวกับการอักเสบของกล้ามเนื้อ

กล้ามเนื้ออักเสบหรือที่เรียกว่า myositis เป็นภาวะที่มีอาการอักเสบและปวดในกล้ามเนื้อ อาจเกิดจากหลายปัจจัย รวมถึงการบาดเจ็บ การใช้งานมากเกินไป การติดเชื้อ หรือความผิดปกติของภูมิต้านทานตนเอง เช่น โรคลูปัสหรือโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ เมื่อกล้ามเนื้ออักเสบ พวกเขาอาจรู้สึกอ่อน บวม และแข็ง ในบางกรณี กล้ามเนื้ออักเสบอาจทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงและเคลื่อนไหวลำบาก

 

การอักเสบของกล้ามเนื้ออาจเกิดจากหลายปัจจัย ได้แก่:

#บาดเจ็บ
การบาดเจ็บ เช่น ความเครียด การเคล็ดขัดยอก อาจทำให้กล้ามเนื้ออักเสบได้ เมื่อกล้ามเนื้อได้รับความเสียหาย ร่างกายจะตอบสนองด้วยการส่งเซลล์ภูมิคุ้มกันไปยังบริเวณนั้นเพื่อส่งเสริมการรักษา การตอบสนองทางภูมิคุ้มกันนี้อาจทำให้เกิดการอักเสบและความเจ็บปวดได้
#ใช้มากเกินไป
การใช้กล้ามเนื้อมากเกินไปอาจทำให้เกิดการอักเสบได้ เป็นเรื่องปกติในนักกีฬาที่ทำการเคลื่อนไหวซ้ำๆ เช่น นักวิ่งหรือนักว่ายน้ำ การใช้งานมากเกินไปอาจเกิดขึ้นได้ในผู้ที่ทำงานด้วยตนเองหรือใช้เวลานานที่โต๊ะทำงาน
##การติดเชื้อ
การติดเชื้อ เช่น ไข้หวัดหรือโรคไวรัสอาจทำให้กล้ามเนื้ออักเสบเนื่องจากร่างกายต่อสู้กับการติดเชื้อ สิ่งนี้เรียกว่า myositis จากไวรัส
##โรคภูมิต้านตนเอง
ความผิดปกติของภูมิต้านทานผิดปกติ เช่น โรคลูปัสหรือโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์สามารถทำให้เกิดการอักเสบของกล้ามเนื้อ เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายโจมตีเนื้อเยื่อของตัวเอง

อาการของกล้ามเนื้ออักเสบ

อาการของกล้ามเนื้ออักเสบอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับความรุนแรงและสาเหตุของการอักเสบ อาการทั่วไป ได้แก่:
– ปวดหรือกดเจ็บบริเวณกล้ามเนื้อที่ได้รับผลกระทบ
– บวมหรือแข็งในบริเวณที่ได้รับผลกระทบ
– กล้ามเนื้ออ่อนแรงหรือเคลื่อนไหวลำบาก
– ความเมื่อยล้าหรือวิงเวียน
หากคุณกำลังประสบกับอาการเหล่านี้ สิ่งสำคัญคือต้องไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุของการอักเสบของกล้ามเนื้อและพัฒนาแผนการรักษาที่เหมาะสม ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจะโจมตีเนื้อเยื่อของตัวเอง

การเยียวยาธรรมชาติสำหรับการอักเสบของกล้ามเนื้อ

โชคดีที่มีวิธีการรักษาตามธรรมชาติมากมายที่สามารถช่วยบรรเทาอาการอักเสบของกล้ามเนื้อและบรรเทาได้อย่างรวดเร็ว

#อาหารเสริมลดการอักเสบของกล้ามเนื้อ
อาหารเสริม เช่น กรดไขมันโอเมก้า 3 เคอร์คูมิน และขิง สามารถช่วยลดการอักเสบในร่างกายได้ กรดไขมันโอเมก้า 3 ที่พบในน้ำมันปลาและน้ำมันเมล็ดแฟลกซ์สามารถช่วยลดการอักเสบและอาการปวดข้อได้ เคอร์คูมินที่พบในขมิ้นมีคุณสมบัติต้านการอักเสบที่มีประสิทธิภาพ มีการแสดงขิงเพื่อลดอาการปวดกล้ามเนื้อและปวดเมื่อย

#อาหารที่ควรกินเพื่อลดการอักเสบ
การรวมอาหารต้านการอักเสบไว้ในอาหารของคุณสามารถช่วยลดการอักเสบของกล้ามเนื้อได้ อาหารเช่น ปลาที่มีไขมัน ผักใบเขียว เบอร์รี่ และถั่ว ล้วนอุดมไปด้วยสารต้านการอักเสบ การหลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป น้ำตาล และไขมันทรานส์สามารถช่วยลดการอักเสบในร่างกายได้

#การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตเพื่อลดการอักเสบ
การปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิต เช่น ลดความเครียด นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอสามารถช่วยลดการอักเสบในร่างกายได้ ความเครียดและการอดนอนอาจทำให้เกิดการอักเสบได้ ในขณะที่การออกกำลังกายสามารถช่วยลดการอักเสบและส่งเสริมการรักษา

#น้ำมันหอมระเหยสำหรับบรรเทาอาการอักเสบของกล้ามเนื้อ
น้ำมันหอมระเหย เช่น เปปเปอร์มินต์ ลาเวนเดอร์ และยูคาลิปตัสสามารถช่วยบรรเทาอาการอักเสบและปวดของกล้ามเนื้อได้ น้ำมันเปปเปอร์มินต์มีคุณสมบัติระบายความร้อนที่สามารถช่วยลดอาการปวดกล้ามเนื้อและปวดเมื่อยได้ น้ำมันลาเวนเดอร์มีคุณสมบัติต้านการอักเสบและช่วยลดการอักเสบในร่างกายได้ น้ำมันยูคาลิปตัสมีคุณสมบัติเป็นยาแก้ปวดและช่วยบรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อได้

#การออกกำลังกายเพื่อบรรเทาอาการอักเสบของกล้ามเนื้อ
การออกกำลังกายเบาๆ เช่น โยคะ การยืดกล้ามเนื้อ และโฟมโรลลิ่ง สามารถช่วยบรรเทาอาการอักเสบและปวดของกล้ามเนื้อได้ โยคะสามารถช่วยลดการอักเสบในร่างกายและส่งเสริมการผ่อนคลาย การยืดกล้ามเนื้อสามารถช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและลดความตึงของกล้ามเนื้อได้ โฟมโรลลิ่งสามารถช่วยลดอาการปวดและอักเสบของกล้ามเนื้อได้

การอักเสบของกล้ามเนื้ออาจเป็นอาการที่เจ็บปวดและน่าหงุดหงิด แต่มีวิธีรักษาตามธรรมชาติหลายอย่างที่สามารถช่วยบรรเทาอาการอักเสบและบรรเทาอาการได้อย่างรวดเร็ว ตั้งแต่การรวมอาหารต้านการอักเสบเข้ากับอาหารของคุณไปจนถึงการฝึกโยคะและการทำสมาธิ มีวิธีง่ายๆ และมีประสิทธิภาพมากมายในการลดการอักเสบและส่งเสริมการรักษา การให้การรักษาตามธรรมชาติเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของกิจวัตรประจำวันของคุณ คุณจะสามารถบรรเทาอาการอักเสบของกล้ามเนื้อและกลับมารู้สึกดีที่สุดได้


แนวทางกายภาพบำบัดทั่วไปเพื่อลดการอักเสบของกล้ามเนื้อ

การทำกายภาพบำบัดเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการลดการอักเสบของกล้ามเนื้อและปรับปรุงการเคลื่อนไหวโดยรวม ต่อไปนี้เป็นวิธีกายภาพบำบัดที่ใช้กันทั่วไปเพื่อลดการอักเสบของกล้ามเนื้อ:
#เทคนิคการเผยแพร่ที่ใช้งานอยู่ (ART)
Active Release Technique (ART) เป็นการบำบัดด้วยมือประเภทหนึ่งที่ใช้รักษาอาการบาดเจ็บของเนื้อเยื่ออ่อนและลดการอักเสบของกล้ามเนื้อ ระหว่างการทำ ART นักกายภาพบำบัดจะใช้มือกดบริเวณที่มีอาการ ขณะที่ผู้ป่วยทำการเคลื่อนไหวเฉพาะจุด วิธีนี้จะช่วยสลายเนื้อเยื่อแผลเป็นและการยึดเกาะ ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการปวดและอักเสบได้
#เครื่องมือช่วยการเคลื่อนย้ายเนื้อเยื่ออ่อน (IASTM)
เครื่องมือช่วยการเคลื่อนตัวของเนื้อเยื่ออ่อน (IASTM) เป็นเทคนิคที่ใช้เครื่องมือพิเศษในการนวดและยืดกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อ เครื่องมือนี้ออกแบบมาเพื่อใช้แรงกดบนพื้นที่เฉพาะ ช่วยสลายเนื้อเยื่อแผลเป็นและการยึดเกาะ เทคนิคนี้ได้ผลอย่างยิ่งในการรักษาอาการอักเสบและอาการปวดเรื้อรัง
#การบำบัดด้วยตนเอง
การบำบัดด้วยตนเองเป็นการบำบัดทางกายภาพประเภทหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับเทคนิคการปฏิบัติจริงเพื่อลดการอักเสบของกล้ามเนื้อและปรับปรุงการเคลื่อนไหว ซึ่งอาจรวมถึงเทคนิคต่างๆ เช่น การนวด การเคลื่อนข้อต่อ และการยืดกล้ามเนื้อ การบำบัดด้วยมือจะมีประสิทธิภาพโดยเฉพาะอย่างยิ่งในการรักษาอาการอักเสบและความเจ็บปวดที่เกิดจากการบาดเจ็บมากเกินไป
#การออกกำลังกายยืดและเสริมสร้างความเข้มแข็ง
การออกกำลังกายยืดและเสริมสร้างความแข็งแรงเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการลดการอักเสบของกล้ามเนื้อและปรับปรุงการเคลื่อนไหวโดยรวม นักกายภาพบำบัดสามารถสร้างโปรแกรมการออกกำลังกายแบบกำหนดเองโดยกำหนดเป้าหมายไปที่กล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อเฉพาะที่ก่อให้เกิดความเจ็บปวดและการอักเสบ การยืดกล้ามเนื้อสามารถช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและลดความตึงของกล้ามเนื้อ ในขณะที่การออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงสามารถช่วยสร้างกล้ามเนื้อและปรับปรุงการทำงานโดยรวม
#การบำบัดด้วยความเย็นและความร้อน
การบำบัดด้วยความเย็นและความร้อนเป็นสองเทคนิคที่สามารถใช้เพื่อลดการอักเสบและความเจ็บปวดของกล้ามเนื้อ การบำบัดด้วยความเย็นเกี่ยวข้องกับการใช้ความเย็นเพื่อลดการอักเสบ ในขณะที่การบำบัดด้วยความร้อนเกี่ยวข้องกับการใช้ความร้อนเพื่อเพิ่มการไหลเวียนของเลือดและลดความเจ็บปวด เทคนิคทั้งสองสามารถมีประสิทธิภาพในการลดการอักเสบและปรับปรุงการเคลื่อนไหว
#โภชนาการกับการอักเสบของกล้ามเนื้อ
โภชนาการยังสามารถมีบทบาทในการลดการอักเสบของกล้ามเนื้อ อาหารที่อุดมด้วยอาหารต้านการอักเสบ เช่น ผลไม้ ผัก และเมล็ดธัญพืช สามารถช่วยลดการอักเสบและทำให้สุขภาพโดยรวมดีขึ้นได้ ในทางกลับกัน การรับประทานอาหารแปรรูปและน้ำตาลสูงอาจทำให้เกิดอาการอักเสบและปวดเรื้อรังได้

ปวดหลังช่วงเอว

ปวดหลังช่วงเอว เกิดจากอะไร แก้ไขยังไงดี

การปวดหลังช่วงเอวสามารถมีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย เช่น อาการผิดปกติของกล้ามเนื้อ โรคข้อต่อ แผลบวม อักเสบ และอาการที่เกิดขึ้นจากการใช้กล้ามเนื้อมากเกินไป หรือน้ำหนักที่หนักเกินไป

การแก้ไขปัญหาของการปวดหลังช่วงเอว ทำได้หลายวิธี คือ

  1. การดูแลตนเอง

  • ควรทำการออกกำลังกายแบบเบาๆ เช่น เดินเร็ว วิ่งเล่น หรือว่ายน้ำ เพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อส่วนล่างของร่างกาย และช่วยลดอาการปวดหลังช่วงเอวได้
  • ควรปรับเปลี่ยนท่านั่งของเราเมื่อทำงานนาน ๆ เพื่อลดการเอียงศีรษะลงมาด้านหน้า ซึ่งอาจเป็นสาเหตุของการปวดหลังช่วงเอวได้
  • ใช้ท่าแบบยืดเหยียดกล้ามเนื้อช่วงเอว เช่น การเอียงลำตัวไปด้านซ้ายและขวา โดยค่อยๆ เพิ่มระดับยืดเหยียดไปเรื่อยๆ โดยใช้เวลาประมาณ 5-10 นาทีต่อวัน
  1. การรักษาแบบเฉพาะกิจ

  • ใช้น้ำร้อนหรือน้ำเย็นบนบริเวณที่ปวด เพื่อช่วยลดอาการปวด
  • ใช้ยาแก้ปวดพาราเซตามอลหรืออะซิโคดอน โดยการปรึกษาแพทย์ก่อนการใช้ยาเป็นสิ่งสำคัญ
  1. การได้รับการรักษาจากแพทย์

  • หากการปวดหลังช่วงเอวไม่ดีขึ้นจากการดูแลตนเองหรือการรักษาแบบเฉพาะกิจ ควรได้รับการตรวจวินิจฉัยจากแพทย์ เพื่อวินิจฉัยสาเหตุของการปวดหลังช่วงเอว และตัดสินใจในการรักษาต่อไป
  • การรักษาอาจจะประกอบไปด้วยการฝังเข็ม การฟื้นฟูกล้ามเนื้อ การนวด กายภาพบำบัด หรือการผ่าตัด ขึ้นอยู่กับสาเหตุของการปวดหลังช่วงเอว
  1. การใช้เครื่องช่วยสำหรับการปวดหลังช่วงเอว

  • สำหรับบางคนที่มีอาการปวดหลังช่วงเอวเฉียบพลันและรุนแรงมาก อาจจะต้องใช้เครื่องช่วยสำหรับการปวดหลัง เช่น TENS (Transcutaneous electrical nerve stimulation) หรือเครื่องส่งสัญญาณไฟฟ้าที่ต่อไปยังผิวหนัง เพื่อช่วยบรรเทาอาการปวด หรือเครื่องออกกำลังกายในน้ำ (hydrotherapy) ซึ่งจะช่วยลดน้ำหนักของร่างกายและลดแรงกดที่เกิดกับกระดูกและข้อต่อ
  1. การป้องกันการปวดหลังช่วงเอวในอนาคต

  • เพื่อป้องกันการเกิดการปวดหลังช่วงเอวในอนาคต ควรรักษาสุขภาพร่างกายอย่างเหมาะสม รวมถึงการออกกำลังกายสม่ำเสมอ รับประทานอาหารที่มีสารอาหารครบถ้วน และหลีกเลี่ยงการยืนหรือนั่งเพียงแค่นานเกินไป หรือการทำงานที่ต้องยืนหรือนั่งเป็นเวลานานๆ โดยควรมีการพักผ่อนอย่างเพียงพอเพื่อลดความเครียดในส่วนหลังของร่างกาย และอย่าลืมใส่รองเท้าที่สะดวกสบายและรองเท้าที่มีความรอบรู้เทคโนโลยีสำหรับการสนับสนุนกระดูกและข้อต่อของเท้า

อย่าลืมว่าการดูแลสุขภาพร่างกายโดยเป็นระยะเวลานานจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดการปวดหลังช่วงเอวได้ ดังนั้นควรมีการออกกำลังกายสม่ำเสมอ รับประทานอาหารที่มีสารอาหารครบถ้วน และมีการพักผ่อนและนอนหลับอย่างเพียงพอเพื่อสุขภาพร่างกายที่ดีที่สุด

ปวดหลังขาชา

ปวดหลัง ขาชา เกิดจากอะไร

คุณเคยตกใจเมื่อมีอาการปวดหลัง ขาชา แล้วไม่รู้ว่าเกิดจากอะไรหรือไม่

 

การปวดหลังและขาชาสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ โดยทั่วไปแล้วอาการนี้เกิดจากปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลต่อระบบกล้ามเนื้อและระบบประสาทในส่วนของหลังและขา

ตัวอย่างของสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการปวดหลังและขาชาได้แก่

  • โรคหลอดเลือดสมองที่ส่งผลกระทบต่อเส้นประสาทที่อยู่ใกล้เคียงกับหลังและขา
  • โรคกระดูกพรุนหลัง เช่น กระดูกอ่อน (osteoporosis) หรือเส้นเอ็นผลึก (herniated disc) ที่ส่งผลกระทบต่อประสาทส่วนกลางและส่วนประสาทส่วนย่อยของหลังและขา
  • การบีบตัวของเส้นประสาทในหลังและขา ซึ่งอาจเกิดจากการเปลี่ยนท่านั่งโดยไม่ถูกต้องหรือนั่งนานเวลา
  • ความเครียดหรือภาวะสุขภาพจิตที่ทำให้กล้ามเนื้อหลังและขาอักเสบ
  • อาการแพ้ยาหรือภูมิแพ้ที่ทำให้เกิดอาการอักเสบในระบบประสาท
  • อาการปวดเมื่อยในกล้ามเนื้อหลังและขาที่เกิดจากการใช้กล้ามเนื้อมากเกินไปหรือการทำงานหนักในเวลานาน
  • การใช้ยาแก้ปวด เช่น พาราเซตามอล (Paracetamol) หรือนอร์ทริพทานอล (NSAIDs) เพื่อลดอาการปวดและอักเสบในเวลาชั่วคราว
  • การทำกิจกรรมกายภาพบำบัด เช่น การเยื้องหลัง การยืดกล้ามเนื้อ การฝึกหลังและขา เพื่อเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและเพิ่มความยืดหยุ่นของร่างกาย
  • การใช้เครื่องอำพันไฟฟ้า หรือ TENS (Transcutaneous Electrical Nerve Stimulation) เพื่อลดอาการปวดและอักเสบในส่วนของหลังและขา
  • การแพทย์แผนไทย เช่น การนวดและบริหารจุดต่างๆ บนร่างกาย เพื่อเพิ่มการไหลเวียนของเลือดและป้องกันการอักเสบในส่วนต่างๆ ของร่างกาย
  • การรักษาโรคพื้นฐานที่ส่งผลต่ออาการปวดหลังและขาชา เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณมีอาการปวดหลังและขาชาเป็นเวลานานหรือมีอาการรุนแรง คุณควรพบแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาที่เหมาะสมต่อไป

Office syndrome คืออะไร

 

อะไรคือโรคจากการทำงาน Office syndrome

Office syndrome คืออาการปวดเจ็บหรือความไม่สบายที่เกิดขึ้นจากการทำงานในสำนักงานหรือที่ทำงานที่ต้องใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน สาเหตุหลักของ office syndrome ได้แก่:

  1. การนั่งทำงานนานๆ โดยไม่มีการเคลื่อนไหวมากพอ
  2. การใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ โดยไม่มีการพักผ่อนหรือเปลี่ยนท่านั่ง
  3. การใช้เมาส์หรือแป้นพิมพ์เป็นเวลานานๆ โดยไม่มีการปรับตั้งค่าหรือใช้อุปกรณ์ช่วย
  4. การมีแสงสว่างที่ไม่เหมาะสมหรือความสะดวกไม่เพียงพอในการทำงาน

อาการที่พบในผู้ที่เป็น office syndrome สามารถรวมได้แก่:

  1. ปวดคอ
  2. ปวดไหล่
  3. ปวดหลัง
  4. ปวดข้อมือ
  5. ตาพร่ามัวหมอง
  6. หงุดหงิด ไม่สบายใจ

การป้องกัน office syndrome สามารถทำได้โดยการ:

  1. ปรับท่านั่งให้ถูกต้อง
  2. หมุนหัวไปมาเพื่อคลายเส้นเอ็นทรัพย์
  3. ตั้งตัวตรงเพื่อลดการเอียงไปด้านหน้า
  4. พักผ่อนตามช่วงเวลาที่กำหนด
  5. ใช้โต๊ะและเก้าอี้ที่เหมาะสม
  6. ใช้อุปกรณ์ช่วยเพิ่มความสะดวกในการทำงาน
  7. ออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อและกระดูกด้วยการยืดและหมุนตัวเป็นระยะ
 
 
Regenerate response
รองช้ำ อาการ

เอ็นฝ่าเท้าอักเสบ-รองช้ำ อาการเป็นอย่างไร

เอ็นฝ่าเท้าอักเสบ (Plantar Fasciitis) เป็นอาการที่เกิดขึ้นเมื่อเนื้อเยื่อช่วงล่างของเท้าที่เรียกว่าเอ็นฝ่าเท้า (plantar fascia) ถูกบิดเบือนหรืออักเสบ โดยส่วนมากจะมีอาการเจ็บปวดใต้เท้า โดยเฉพาะที่ส้นเท้า พบได้บ่อยที่สายเอ็นฝ่าเท้าประสาทหน้า (medial plantar nerve) และส่วนของเอ็นฝ่าเท้าที่ต่อกับกระดูกส้นเท้า อาการอักเสบนี้สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งเฉพาะด้านหน้าเท้าหรือทั้งสองข้าง เป็นโรคที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะในเพศหญิงซึ่งผู้ป่วยมักมีอาการเจ็บส้นเท้า และมักเป็นมากในตอนเช้าเมื่อลุกจากเตียงโดยอาการมักเป็นๆ หายๆ และเป็นมากขึ้นตามลักษณะการใช้งานการอับเสบจะเกิดขึ้นที่เอ็นบริเวณส้นเท้าต่อเนื่องไปจนถึงเอ็นร้อยหวาย

Read More

การยืดออกกำลังกายแก้ปวดหลัง

 

การยืดเป็นท่าออกกำลังกายที่มีประโยชน์ในการบรรเทาอาการปวดหลังได้ดีเนื่องจากช่วยเหยียดเส้นเอ็นทรัพย์ ลดความตึงของกล้ามเนื้อและเพิ่มความเชื่อมั่นในร่างกาย นี่คือวิธีที่คุณสามารถทำได้

  1. ยืดหลังด้านบน (Upper back stretch)
  • นั่งตัวตรง ให้มือขวาเหยียดตรงไปข้างหน้า จากนั้นหันหัวไปทางขวาและเอาศอกซ้ายวางไว้บนเข่าข้างซ้าย
  • เอามือซ้ายไปจับข้อศอกข้างขวา และดันไปทางขวาลงจนกระทั่งคุณรู้สึกเหยียดเส้นเอ็นทรัพย์ ค้างไว้สัก 15-30 วินาที แล้วเปลี่ยนข้าง
  1. ยืดส่วนล่างของหลัง (Lower back stretch)
  • นั่งตัวตรง ให้เหยียดขาขึ้น แล้วยกขาขึ้นไปที่มุม 90 องศา
  • เอามือซ้ายวางไว้บนเข่าข้างซ้าย และใช้มือขวาบีบเอาเข่าข้างซ้ายเข้าหาลำตัว
  • ค้างไว้สัก 15-30 วินาที แล้วเปลี่ยนข้าง
  1. ยืดส่วนกลางของหลัง (Mid-back stretch)
  • นั่งตัวตรง ให้งอเข่าและวางเท้าไว้บนพื้น
  • เอามือไปจับเข่าทั้งสองข้าง และดันไปด้านหลังจนกระทั่งคุณรู้สึกเหยียดเส้นเอ็นทรัพย์
  • ค้างไว้สัก 15-30 วินาที