คลินิกกายภาพบำบัด บางพลัด MRT สิรินธร

เข่าเสื่อม สาเหตุ ระยะต่างๆ การรักษา

อาการเข่าเสื่อม

อาการของเข่าเสื่อมจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรคและระยะเวลาที่เสียไป อาการสำคัญที่พบได้แก่

  1. ปวดเข่า – เป็นอาการที่พบได้บ่อยที่สุดในผู้ที่มีเข่าเสื่อม โดยอาจมีความเจ็บปวดที่เข่าเมื่อเคลื่อนไหวหรือในท่าทางที่ต่างๆ เช่น เดินขึ้นลงบันได หรือนั่ง-ยืน ปวดอาจเป็นเฉพาะที่เข่าหรือกระจายไปที่ตำแหน่งอื่นๆ เช่น สะโพก ขา หรือเท้า
  2. ความกังวล – ผู้ที่มีเข่าเสื่อมอาจมีความกังวลและความเป็นห่วงเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของเข่าและการทำกิจกรรมประจำวัน เนื่องจากอาการปวดเข่าอาจทำให้เกิดความไม่สะดวกในการทำกิจกรรมต่างๆ
  3. ความเจ็บปวดในเข่าที่เป็นตัวเข้าไปในโครงเข่า – ความเจ็บปวดในจุดที่อยู่ภายในโครงเข่ามักเกิดขึ้นในระยะท้ายของโรค เมื่อกระบวนการเสื่อมของเข่าเริ่มเข้าสู่ขั้นตอนที่รุนแรงขึ้น
  4. ความตึงตัวและความจำกัดการเคลื่อนไหว – ผู้ที่มีเข่าเสื่อมอาจมีอาการความตึงตัวและความจำกัดในการเคลื่อนไหวของข้อเข่า ส่งผลให้ไม่สะดวกในการเดินหรือทำกิจกรรมต่างๆ
  5. เจ็บเวียนและบวม – ผู้ที่มีเข่าเสื่อมอาจมีอาการเจ็บเวียนและบวมที่ข้อเข่า โดยเฉพาะในช่วงที่มีการใช้งานเข่ามาก เช่น การทำกิจกรรมที่ต้องเดินเหนื่อยๆ เป็นต้น
  6. ฟื้นฟูช้า – เมื่อเข่าเสื่อมถึงระยะที่รุนแรงขึ้น อาการที่เป็นผลจากการสูญเสียส่วนของกระดูกและเนื้อเยื่อบริเวณเข่าจะเกิดขึ้นได้ การฟื้นฟูจะต้องใช้เวลานานและอาจไม่สามารถกลับมาเหมือนเดิมได้

สำหรับผู้ที่มีเส้นของอายุ 50 ปีขึ้นไปและมีอาการปวดเข่า ควรพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาอย่างทันเวลา เนื่องจากเข่าเสื่อมเป็นโรคที่มีผลกระทบในการทำกิจกรรมประจำวันและอาจทำให้ผู้ป่วยสูญเสียศักยภาพในการเคลื่อนไหวและคุณภาพชีวิตในระยะยาวได้ การรักษาเข่าเสื่อมจะขึ้นอยู่กับระยะของโรคและความรุนแรง โดยมีวิธีการรักษาหลายวิธี เช่น ออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อ การสัมผัสและการแต่งตัวให้เหมาะสม การใช้ยาแก้ปวด การศึกษาวิธีการใช้เครื่องช่วยเดิน เป็นต้น ในกรณีที่อาการหนักและไม่ดีขึ้น อาจต้องพิจารณาถึงการรักษาด้วยวิธีการผ่าตัด เช่น การเปลี่ยนข้อเข่าเทียม หรือการตัดเนื้อเยื่อในเข่าเพื่อลดอาการปวด แต่การผ่าตัดจะเป็นวิธีการสุดท้ายเมื่อการรักษาด้วยวิธีอื่นไม่สามารถปรับปรุงสภาพของเข่าได้อีกต่อไป

สำหรับการป้องกันโรคเข่าเสื่อม ผู้ที่มีอายุมากๆ ควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการเจ็บเข่า เช่น การวิ่งหรือกระโดดข้าม นอกจากนี้ การดูแลรักษาน้ำหนักของร่างกายเพื่อลดน้ำหนัก การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อและเสริมสร้างระบบข้อเข่า และการสวมใส่รองเท้าที่เหมาะสมกับการเดินและการทำกิจกรรมอื่นๆ ก็เป็นเรื่องสำคัญในการป้องกันโรคเข่าเสื่อมด้วย


สาเหตุของเข่าเสื่อม

การเสื่อมของเข่าเป็นอาการที่เกิดขึ้นเมื่อเนื้อเยื่อและกระดูกของเข่าสูญเสียความสมบูรณ์ สาเหตุของการเสื่อมของเข่าอาจเป็นได้หลายปัจจัย ซึ่งสาเหตุที่สำคัญมีดังนี้

  1. อายุ – การเสื่อมของเข่าเป็นภาวะที่พบได้บ่อยขึ้นเมื่อถึงอายุที่มากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเข้าสู่วัยกลางคนขึ้นไป ซึ่งเนื่องจากการใช้งานของเข่าเป็นเวลานานเป็นส่วนใหญ่ จนเนื้อเยื่อและกระดูกของเข่าสูญเสียความสมบูรณ์มากขึ้น
  2. โรคข้อเข่าอักเสบ – เป็นภาวะที่เกิดจากการอักเสบของเนื้อเยื่อในข้อเข่า ซึ่งอาจส่งผลให้เนื้อเยื่อและกระดูกของเข่าเสื่อมลง
  3. การบาดเจ็บของเข่า – เช่น การกระแทกหรือการกระตุกของข้อเข่า หรือการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นในการเล่นกีฬาหรือกิจกรรมที่ต้องใช้เข่าเป็นส่วนหนึ่ง
  4. น้ำหนักตัวเกินมาตรฐาน – น้ำหนักตัวที่มากเกินไปจะเป็นภาระต่อเข่า ทำให้เกิดการกดเคี้ยวร้อยและการสึกหรอของเข่าบ่อยขึ้น ทำให้เกิดการเสื่อมของเข่าได้
  5. พันธุกรรม – บางครั้งการเสื่อมของเข่าอาจเกิดขึ้นจากพันธุกรรม
  6. โรคเบาหวาน – โรคเบาหวานอาจเป็นสาเหตุของการเสื่อมของเข่า เนื่องจากเบาหวานสามารถส่งผลต่อเส้นเลือดและเนื้อเยื่อในข้อเข่าได้
  7. การเจริญเติบโตผิดปกติของเข่า – เป็นภาวะที่เกิดจากพันธุกรรม และอาจทำให้เข่าเสื่อมได้ในวัยเยาว์
  8. ความเครียดและภาวะโรคซึมเศร้า – การเครียดและภาวะโรคซึมเศร้าอาจเป็นสาเหตุของการเสื่อมของเข่า จากการส่งผลต่อระบบการหมุนเวียนและการปลดปล่อยฮอร์โมนและสารเคมีในร่างกาย
  9. การทำงานที่ต้องใช้เข่าเป็นส่วนหนึ่ง – การทำงานหรือกิจกรรมที่ต้องใช้เข่าเป็นส่วนหนึ่งเป็นเวลานาน อาจเป็นสาเหตุของการเสื่อมของเข่า

สำหรับสาเหตุอื่นๆที่อาจเป็นสาเหตุของการเสื่อมของเข่า อาจมีอีกมากกว่านี้ แต่สาเหตุที่กล่าวมาข้างต้นเป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุด


เข่าเสื่อมมีกี่ระยะ

การเสื่อมของเข่าเป็นอาการที่เกิดขึ้นเมื่อเนื้อเยื่อและกระดูกของเข่าสูญเสียความสมบูรณ์และสามารถเกิดขึ้นในหลายระยะเวลา ระยะเวลาที่เข่าเสื่อมขึ้นนั้นอาจแตกต่างกันไปได้ในแต่ละบุคคล และขึ้นอยู่กับสาเหตุของการเสื่อมที่เกิดขึ้น

อย่างไรก็ตาม มีการแบ่งระยะเวลาของการเสื่อมของเข่าออกเป็น 4 ระยะดังนี้

  1. ระยะเริ่มต้น (mild or early stage) – เป็นระยะที่มีการสูญเสียของเนื้อเยื่อและกระดูกเล็กน้อยเท่านั้น ผู้ป่วยอาจมีอาการบวมและเจ็บปวดเล็กน้อยในขณะที่กำลังใช้งานเข่า แต่อาการนี้อาจหายไปเมื่อผู้ป่วยหยุดพักผ่อน
  2. ระยะกลาง (moderate stage) – เป็นระยะที่มีการสูญเสียเนื้อเยื่อและกระดูกมากขึ้น ผู้ป่วยอาจมีอาการปวดเข่าเพิ่มขึ้นเมื่อเคลื่อนไหวและทำกิจกรรม อาจมีอาการข้อต่ออักเสบและติดเชื้อด้วย
  3. ระยะสุดท้าย (severe stage) – เป็นระยะที่มีการสูญเสียเนื้อเยื่อและกระดูกมากที่สุด ผู้ป่วยอาจมีอาการปวดเข่ารุนแรงและมีการเจ็บปวดในตำแหน่งอื่น ๆ ด้วย เช่น เข่าเล็กลง หรือข้อเท้าบวม
  4. ระยะเฉียบพลัน (acute stage) -เป็นระยะที่มีการเสื่อมของเข่าเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และผู้ป่วยอาจมีอาการปวดเข่ารุนแรงมากๆ และไม่สามารถใช้งานขาได้อย่างปกติ ระยะเวลาของระยะเฉียบพลันนี้อาจแตกต่างกันไปได้ในแต่ละบุคคล แต่ทั่วไปแล้วระยะเวลานั้นจะไม่นานเท่ากับระยะเวลาของระยะเริ่มต้น หากมีอาการปวดเข่ารุนแรง ควรพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาเพื่อป้องกันการเสื่อมของเข่าแบบรุนแรงขึ้นในอนาคต

 


การออกกำลังกายของผู้ที่มีปัญหาเข่าเสื่อมในระยะเริ่มต้น

การออกกำลังกายสำหรับผู้ที่มีเข่าเสื่อมจะต้องคำนึงถึงความเหมาะสมและปลอดภัย โดยสามารถปฏิบัติได้ตามความสามารถของแต่ละบุคคลและระดับความรุนแรงของโรค. ดังนั้น ควรปรึกษาแพทย์ก่อนออกกำลังกายเพื่อประเมินความเหมาะสมของกิจกรรมการออกกำลังกาย.

ตัวอย่างของกิจกรรมที่เหมาะสำหรับผู้ที่มีเข่าเสื่อมได้แก่:

  1. การเดินเร็วหรือการเดินระยะไกลๆ ในระดับที่เหมาะสม โดยการเดินจะช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อของขาและช่วยปรับปรุงการเคลื่อนไหวของเข่า
  2. การวิ่งระยะสั้นๆ หรือการเดินลุกเร็ว-นั่งลงเร็ว
  3. การวิดเท้า หรือการเล่นเกมส์ที่ต้องใช้เท้า เช่น วงเงิน
  4. การเล่นปิงปอง เทนนิส และกีฬาแบดมินตัน
  5. การฝึกความสมดุลของร่างกาย และการฝึกการหายใจลึกๆ เพื่อช่วยลดความเครียดและปวดในช่วงการฟื้นตัว.

อย่างไรก็ตาม หากมีอาการปวดเข่าหรืออาการไม่ปกติอื่นๆ ในระหว่างการออกกำลังกาย ควรหยุดกิจกรรมทันทีและปรึกษาแพทย์เพื่อการตรวจสอบและการรักษาต่อไป.


การดูแลตัวเองหลังผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่า

การดูแลตัวเองหลังผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าในช่วง 3 เดือนแรก เป็นสิ่งที่สำคัญเพื่อช่วยให้ร่างกายหายขาดและฟื้นคืนสุขภาพได้เร็วขึ้น ดังนั้น ด้านล่างนี้เป็นการดูแลตัวเองหลังผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าที่สำคัญ:

  1. หลังจากผ่าตัดเสร็จสิ้น ควรมีการนอนหลับที่ถูกต้องโดยใช้หมอนรองขาเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเลือดภายในแผล
  2. ควรรักษาแผลและทำความสะอาดทุกวันเพื่อป้องกันการติดเชื้อ โดยใช้น้ำยาล้างแผลที่ระบายออกมาจากแผลในขณะอาบน้ำ
  3. ควรเคลื่อนไหวเป็นประจำโดยอยู่ในท่าที่ถูกต้องเพื่อป้องกันการอักเสบและข้อต่ออืดตึง เช่น การยืดและงอข้อเข่า, การหมุนข้อเข่าแบบรวดเร็ว
  4. ควรเริ่มการกู้ฟื้นการยึดตึงของเส้นเอนโดยการเคลื่อนไหวเบาๆ
  5. ควรสังเกตและรายงานอาการที่ผิดปกติที่อาจเกิดขึ้น เช่น แผลบวม อาการปวดที่เพิ่มขึ้น หรืออาการปวดได้ยากขึ้น
  6. การออกกำลังกายตามคำแนะนำของแพทย์เพื่อช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของกล้ามเนื้อและฟื้นฟูฟังก์ชันของข้อเข่า
  7. ควรติดตามการเข้ารักษาโดยแพทย์โดยใช้การฟื้นฟูศักย์กล้ามเนื้อและการออกกำลังกายเป็นส่วนหนึ่งของการกู้ฟื้นหลังผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่า แต่อย่างไรก็ตาม การออกกำลังกายจะต้องทำโดยระมัดระวังโดยใช้ความระมัดระวังในการออกกำลังกายเพื่อไม่ให้เกิดการบาดเจ็บหรือการอักเสบ
  8. ควรปฏิบัติตามการดูแลและฝึกฝนที่แพทย์แนะนำอย่างเคร่งครัด เพื่อช่วยให้ร่างกายฟื้นคืนได้อย่างเต็มที่ และป้องกันการเกิดปัญหาทางสุขภาพใหม่
  9. ควรดูแลสุขภาพอย่างเต็มที่ โดยรับประทานอาหารที่เหมาะสมและเพียงพอ ทานผักและผลไม้เป็นประจำ เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่เพียงพอเพื่อฟื้นฟูร่างกาย
  10. หลีกเลี่ยงการนั่งท่างานที่ต้องใช้เวลานานๆและอยู่ในท่าเดิมๆเป็นระยะ ๆ ซึ่งอาจทำให้ข้อเข่าหย่อนหรืออักเสบ
  11. ควรหลีกเลี่ยงการยืนนานๆหรือเดินเร็วเพื่อป้องกันการเจ็บปวดของข้อเข่า และการต่อสู้กับแรงโน้มถ่วงที่ส่งผลต่อข้อเข่า
  12. ควรระมัดระวังเกี่ยวกับสภาพอากาศที่ช่วยทำให้ข้อเข่าอักเสบหรือบวม เช่น อากาศร้อน
  1. ควรเดินอย่างช้าๆและต้องระมัดระวังเมื่อเดินบนพื้นผิวที่ไม่เรียบ ๆ เช่น บนทางลาด หรือพื้นผิวที่มีความเปียกชื้น เพราะอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บหรือเจ็บปวดของข้อเข่า
  2. อย่างไรก็ตาม หากมีอาการปวดเข่าหลังการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่า ควรแจ้งแพทย์ทันที เพื่อให้ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและเหมาะสม
  3. ควรตรวจสอบและดูแลการแผ่รังสีของข้อเข่า เพื่อตรวจสอบว่ามีภาวะเสื่อมของข้อเข่าหรือไม่ และว่ามีการเจ็บปวดหรืออาการปวดในข้อเข่าหรือไม่
  4. ควรเป็นผู้ดูแลตัวเองโดยตรวจสอบสภาพของแผลที่ผ่าตัด และตรวจสอบว่ามีการติดเชื้อหรือไม่ โดยสามารถร้องขอความช่วยเหลือจากญาติหรือเพื่อนๆได้
  5. ควรติดตามอาการที่เกิดขึ้นต่อเนื่อง เพื่อค้นหาอาการผิดปกติใด ๆ และแจ้งแพทย์ทันทีเมื่อมีอาการที่ผิดปกติ
  6. หากมีอาการปวดเข่าหลังการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่า ควรพักผ่อนและหลีกเลี่ยงการใช้ข้อเข่ามากเกินไป รวมถึงการออกกำลังกายที่มีแรงกระแทกเช่นวิ่งหรือกระโดด เพราะอาจทำให้อาการแย่ลง และถ้ามีอาการปวดรุนแรงจนไม่สามารถทนได้ ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรักษา
  1. ควรระวังการใช้งานอุปกรณ์ที่ต้องใช้แรงมากเกินไป เช่น การพกของหนักหรือการขับรถจักรยาน โดยที่ต้องใช้แรงขับมากเกินไป เพราะอาจทำให้เกิดอาการปวดเข่าหรืออาการที่แย่ลงได้
  2. สุขภาพดีและพักผ่อนเพียงพอเป็นสิ่งที่สำคัญในการฟื้นตัวหลังจากการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่า ควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และทานอาหารที่มีวิตามิน C เพราะวิตามิน C จะช่วยเสริมสร้างกระดูกและเสริมสร้างการสร้างเนื้อเยื่อที่ผ่านการผ่าตัด เช่น ผักเขียวหรือผลไม้

สุดท้ายนี้ ควรจะระมัดระวังและปฏิบัติตามคำแนะนำข้างต้น เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวและเข้าสู่สภาวะที่ดีขึ้นได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย และควรติดตามคำแนะนำและรับการตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอโดยแพทย์ที่ได้รับการกำหนดไว้ให้เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวและกลับสู่สภาวะที่ดีขึ้นได้อย่างปลอดภัยและประสบความสำเร็จในการฟื้นตัวหลังจากการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่า


 

การรักษาด้านกายภาพบำบัดสำหรับผู้มีปัญหาเข่าเสื่อม ไม่อยากผ่าตัด

Tecar therapy หรือ Transfer Electrical Capacitive and Resistive Therapy เป็นรูปแบบหนึ่งของกายภาพบำบัดที่ใช้คลื่นไฟฟ้าความถี่สูงเพื่อกระตุ้นการฟื้นฟูในเนื้อเยื่อที่ได้รับบาดเจ็บหรือเสียหาย มีหลักฐานบางส่วนที่ระบุว่าเทคนิคนี้อาจมีประสิทธิภาพในการลดอาการปวดและปรับปรุงฟังก์ชั่นในบุคคลที่มีโรคข้อเข่าเสื่อม อย่างไรก็ตาม ยังต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อกำหนดประสิทธิภาพของเทคนิคนี้ในระยะยาวและการใช้งานที่เหมาะสม

การวิจัยระบบนี้ในบุคคลที่มีโรคข้อเข่าเสื่อมพบว่าเมื่อใช้ร่วมกับการบำบัดด้วยการออกกำลังกาย อาจมีประสิทธิภาพในการลดอาการปวด เพิ่มฟังก์ชั่นร่างกายและคุณภาพชีวิต อย่างไรก็ตาม การวิจัยนี้ระบุว่าข้อมูลยังจำกัดด้วยจำนวนเล็กและคุณภาพต่ำของการวิจัยที่มีการทำบนหัวข้อนี้

การวิจัยอีกแห่งที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Physical Therapy Science ปี 2018 ได้เปรียบเทียบผลของ Tecar therapy กับ Ultrasound therapy ในผู้ที่มีโรคข้อเข่าเสื่อม พบว่าทั้งสองการบำบัดมีประสิทธิภาพในการลดอาการปวดและปรับปรุงฟังก์ชั่นของเข่า แต่ Tecar therapy มีประสิทธิภาพมากกว่า Ultrasound therapy

Tecar therapy ใช้การส่งผ่านคลื่นไฟฟ้าความถี่สูงไปยังพื้นผิวที่มีการบาดเจ็บหรือเสียหาย เมื่อคลื่นไฟฟ้าผ่านไปผ่านเนื้อเยื่อจะสร้างการไหลของพลังงานภายในเนื้อเยื่อ ซึ่งอาจเพิ่มการไหลเวียนเลือด เสริมสร้างการฟื้นฟูเนื้อเยื่อ ลดการอักเสบ ซึ่งอาจช่วยบรรเทาอาการปวดและปรับปรุงฟังก์ชันของผู้ที่มีโรคข้อเข่าเสื่อม

Tecar capacitive applicator คือ อุปกรณ์ที่ใช้ในการทำ Tecar therapy เพื่อรักษาเส้นเอ็นท์ข้อเข่าเสื่อม โดยออกแบบมาเพื่อส่งออกฟิลด์ไฟฟ้าความถี่สูงเพื่อกระตุ้นการฟื้นฟูของเนื้อเยื่อที่ได้รับบาดเจ็บหรือเสียหาย การใช้เครื่องมือนี้บนเข่าที่เป็นโรคสามารถเพิ่มการไหลเวียนของเลือด ส่งเสริมการฟื้นฟูเนื้อเยื่อ และลดการอักเสบซึ่งอาจช่วยลดอาการปวดและปรับปรุงการทำงานในบุคคลที่เส้นเอ็นท์ข้อเข่าเสื่อม อย่างไรก็ตาม มีการบอกเตือนว่า ยังไม่มีการกำหนดพารามิเตอร์การรักษาที่เหมาะสมสำหรับ Tecar therapy รวมถึงการใช้อุปกรณ์ capacitive applicator และอาจไม่เหมาะสมกับทุกคน ดังนั้น มีความสำคัญที่จะร่วมมือกับผู้ให้การดูแลสุขภาพเพื่อหาแผนการรักษาที่เหมาะสมกับความต้องการและเป้าหมายของแต่ละบุคคล

Tecar resistive applicator เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการทำ Tecar therapy เพื่อรักษาโรคข้อเข่าเสื่อม (knee osteoarthritis) โดยต่างจาก capacitive applicator ที่มีการสร้างคลื่นไฟฟ้าแบบความจุ (capacitive) แล้วสร้างกระแสไฟฟ้าภายในเนื้อเยื่อ แต่ resistive applicator นั้นสร้างคลื่นไฟฟ้าแบบต้านทาน (resistive) ทำให้เกิดการต้านทานของเนื้อเยื่อ และเพิ่มอุณหภูมิของพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งสามารถกระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อในลักษณะที่ลึกลงไปได้ ซึ่งอาจช่วยลดอาการปวดและปรับปรุงฟังก์ชั่นของเข่าในผู้ป่วยที่เป็นโรคข้อเข่าเสื่อมได้

อย่างไรก็ตาม เช่นเดียวกับ capacitive applicator การใช้ Tecar therapy ด้วย resistive applicator ต้องมีการกำหนดพารามิเตอร์การรักษาที่เหมาะสม และอาจไม่เหมาะกับทุกคน จึงจำเป็นต้องปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์เพื่อกำหนดแผนการรักษาที่เหมาะสมกับความต้องการและเป้าหมายของแต่ละบุคคล