คลินิกกายภาพบำบัด บางพลัด MRT สิรินธร

ปวดเข่า เข่าบวม วิธีรักษา

การปวดเข่าและเข่าบวมอาจเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น การบาดเจ็บ เป็นพาหะ การออกกำลังกายหนัก หรือภาวะอักเสบของเข่า การรักษาที่ถูกต้องจะขึ้นอยู่กับสาเหตุและระดับความรุนแรงของอาการ ดังนั้นการปรึกษาแพทย์เพื่อการวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้องจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง

อย่างไรก็ตาม มีบางวิธีที่สามารถช่วยบรรเทาอาการปวดเข่าและเข่าบวมได้ดังนี้

  1. พักผ่อนและประคบเย็น พักผ่อนและไม่ให้ใช้เข่าเกินไป โดยเฉพาะหลังจากมีการบาดเจ็บหรือออกกำลังกายหนัก ประคบเย็นบริเวณเข่าด้วยน้ำแข็งหรือกระดาษชำระที่แช่น้ำเย็นได้ช่วยลดอาการบวมและปวดเข่า
  2. การออกกำลังกายแบบอ่อนๆ การออกกำลังกายแบบอ่อนๆเช่น การเดินเร็วหรือการวิ่งบนระบบวิ่งอย่างอ่อนๆ ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและเข่า
  3. การใช้สายรัดเข่าและอุปกรณ์ช่วยเหลือ การใช้สายรัดเข่าหรืออุปกรณ์ช่วยเหลืออื่นๆ เช่น เข่าเทป หรือเข่าเสริม ช่วยลดการเคลื่อนไหวของเข่าและบรรเทาอาการปวดเข่า

    การบริหารกล้ามเนื้อต้นขาเป็นวิธีที่ดีในการป้องกันและบรรเทาอาการปวดเข่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับเข่า ดังนี้

    1. กางเข่าเป็นมุม 90 องศา
    • นั่งบนเก้าอี้ หรือพื้น
    • ยกเท้าขึ้นมาให้ตรงกับเข่า
    • ยืดเท้าออกจากก้นเท้าและดันเข่าลงไปยังพื้น ค้างไว้สักครู่ แล้วค่อยๆ ยกเข่าขึ้น
    • ทำซ้ำจนครบ 10 ครั้ง
    1. การยกเท้าขึ้นลง
    • นั่งบนเก้าอี้
    • ยกเท้าขึ้นจนสูงขึ้นไปตรงกับเข่า
    • ค้างไว้สักครู่แล้วค่อยๆ ลงเท้าลงพื้น
    • ทำซ้ำจนครบ 10 ครั้ง
    1. การเดินเหยียดขา
    • ยืนตัวตรง
    • เหยียดขาทั้งสองข้าง และยกสูงขึ้นไปสูงสุดที่เป็นไปได้
    • ค้างไว้สักครู่แล้วค่อยๆ ลดขาลง
    • ทำซ้ำจนครบ 10 ครั้ง
    1. การยกส้นเท้าขึ้น-ลง
    • นั่งบนเก้าอี้
    • ยกส้นเท้าขึ้นไปจนสูงขึ้นไปสูงสุดที่เป็นไปได้
    • ค้างไว้สักครู่แล้วค่อยๆ ลดส้นเท้าลง
    • ทำซ้ำจนครบ 10 ครั้ง

อาการไหล่ติด วิธีบริหาร และการรักษา

ไหล่ติดหรือ Frozen shoulder เป็นภาวะที่เกิดจากการอักเสบของเนื้อเยื่อที่อยู่รอบติดต่อกับข้อไหล่ เช่น กล้ามเนื้อ ถุงลมไหล่ และเกล็ดกระดูก สาเหตุของภาวะนี้ยังไม่เป็นที่ทราบอย่างแน่ชัด แต่มักเกิดจากการบาดเจ็บ อักเสบ หรือการใช้แขนหรือไหล่ในลักษณะที่ซ้ำซาก เช่น การทำงานที่ต้องสลับมือหรืองานที่ต้องใช้แขนหรือไหล่ในระยะยาวๆ โรคเบาหวาน และภูมิคุ้มกันบกพร่องก็เป็นสาเหตุของการเกิดภาวะนี้ได้

อาการของ Frozen shoulder ประกอบด้วย ปวดไหล่ ติดขัด หรือแขนไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ การวินิจฉัยการติดไหล่จะต้องพิจารณาจากอาการที่ผู้ป่วยเล่า รวมถึงการตรวจสอบจากแพทย์ ด้วยการวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของไหล่ และการทำภาพเอกซเรย์ หรือการใช้ MRI เพื่อวินิจฉัยขนาดของเนื้อเยื่อที่อยู่รอบติดต่อกับข้อไหล่

อาการของ Frozen shoulder ประกอบด้วย 3 ระยะ คือ

  1. ระยะแรก (ระยะอักเสบ) - ปวดไหล่เฉียบพลัน แขนเสียว และเลือดไหลออกมากขึ้น
  2. ระยะกลาง (ระยะติด) - แขนและไหล่หย่อน ไหล่ขยับได้น้อยลง ปวดเมื่อเคลื่อนไหว
  3. ระยะสุดท้าย (ระยะฟื้นตัว) - เริ่มเคลื่อนไหวได้มากขึ้น แต่ยังมีความจำกัด ปวดเมื่อเคลื่อนไหว

วิธีการรักษาโรคไหล่ติด (frozen shoulder) เนื่องจากเป็นภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อรอบข้อไหล่หดตัวและกดข้อไหล่เข้าด้วยกัน ทำให้เกิดอาการปวดและข้อไหล่หมุนหรือยกแขนไม่ได้ โรคนี้ไม่มีวิธีรักษาที่รวดเร็ว แต่มีขั้นตอนการรักษาตามด้านล่างนี้ที่สามารถช่วยบรรเทาอาการได้:

  1. การออกกำลังกาย: ออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อรอบข้อไหล่และปรับปรุงการหมุนและยกแขน คุณควรปฏิบัติการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและหยุดทันทีหากมีอาการปวด
  2. การฟื้นฟูและกายภาพบำบัด: การฝึกซ้อมและกายภาพบำบัดเพื่อช่วยเพิ่มการเคลื่อนไหวและลดอาการปวด การฝึกซ้อมที่แนะนำสำหรับโรคไหล่ติดรวมถึงการเหยียดตัว, การยกแขนที่ต่างกัน, การหมุนและการดันแขนขึ้น-ลง
  3. การใช้ยาและการฉีดสาร: สารแค็ปซูลไขมันอิ่มตัว (capsaicin) หรือสารสลายน้ำตาล (corticosteroid) อาจช่วยลดอาการปวดและอักเสบ อย่างไรก็ตาม การใช้ยาหรือการฉีดสารนี้อาจมีผลข้างเคียงบางอย่าง
  4. การผ่าตัด: กรณีที่รักษาด้วยวิธีอื่นไม่ได้ผล หรืออาการแย่ลง อาจต้องพิจารณาใช้วิธีการนี้ และอาจเป็นวิธีการสุดท้ายในการรักษา

 

กายภาพบำบัดเป็นอีกหนึ่งวิธีรักษาโรคไหล่ติด (frozen shoulder) ที่ได้รับการแนะนำอย่างกว้างขวาง ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อรอบข้อไหล่ ช่วยลดอาการปวดและเพิ่มการเคลื่อนไหวของข้อไหล่

กายภาพบำบัดสำหรับโรคไหล่ติดสามารถประกอบด้วยกิจกรรมต่างๆ ดังนี้

  1. การฟื้นฟูกล้ามเนื้อ: ปฏิบัติการฝึกซ้อมกล้ามเนื้อเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อรอบข้อไหล่ การฝึกซ้อมในรูปแบบการยืดและการกระตุ้นเส้นประสาทสามารถช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของข้อไหล่ได้
  2. การบริหารกล้ามเนื้อ: การฝึกซ้อมกล้ามเนื้อโดยเฉพาะในบริเวณไหล่ เช่น การยกแขนขึ้น-ลง การหมุนแขน หรือการดันแขนขึ้น-ลง เป็นต้น
  3. การกายภาพบำบัด: ปฏิบัติการกายภาพบำบัดโดยมีผู้ช่วยฝึกซ้อม อาจประกอบด้วยการอบรมเทคนิคการฝึกซ้อม การบริหารจัดการอาการปวด การใช้วิธีรักษาอื่นๆ เช่น การใช้แค็ปซูลไขมันอิ่มตัว (capsaicin) หรือสารสลายน้ำตาล (corticosteroid) อาการไหล่ติดสามารถใช้เครื่องมือให้การรักษาทางกายภาพ เช่น TECAR Therapy พร้อมกับการ Mobilization Technique เพื่อยืด และสร้างองศาการขยับข้อต่อได้เพิ่มมากขึ้น
  4. การนวด: การนวดเพื่อช่วยปรับปรุงการไหลเวียนเลือดและระบบลมหายใจ ที่ส่วนขอ

นิ้วล๊อก สาเหตุ อาการ การดูแลตัวเอง

นิ้วล๊อก

การหมดความไวต่อการสัมผัสของเนื้อเยื่อของนิ้วมือหรือนิ้วเท้าเรียกว่านิ้วล็อก (Trigger finger) สาเหตุสำคัญของโรคนี้เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงในเนื้อเยื่อรอบข้อนิ้ว โดยที่เนื้อเยื่อนี้มักเกิดการติดตัวกันหรือหดตัว ทำให้เกิดการหยุดชะงักในการเคลื่อนไหวของนิ้ว เมื่อพยายามงอหรือเหยียดนิ้วให้เหยียดตรง จะมีการสะดุดเป็นครั้งคราว และเมื่อเนื้อเยื่อหยุดติดตัวกันเพิ่มขึ้นนั้นจะทำให้มีการหลั่งสารน้ำเลี้ยงไม่เพียงพอ เนื่องจากเนื้อเยื่อมีการบวม อาการของนิ้วล็อกมักเกิดขึ้นในผู้ที่มีการใช้งานนิ้วมืออย่างต่อเนื่อง หรือในผู้ที่มีโรคเส้นเอ็นตับอักเสบหรือโรคระบบไตเสื่อมทราบถึงอาการนี้ได้บ่อยเพราะเกี่ยวข้องกับภาวะการติดเชื้อของเนื้อเยื่อต่างๆ ในร่างกาย

อาการของนิ้วล็อก (Trigger finger) จะมีลักษณะดังนี้

  1. ปวดเมื่องอนนิ้ว และปวดเมื่อใช้งานนิ้ว
  2. มีเสียงดังตอนงอหรือเหยียดนิ้ว
  3. นิ้วเหยียดไม่ออกเป็นปกติ หรือมีการสะดุดเป็นครั้งคราวตอนงอหรือเหยียด
  4. มีผื่นแดงหรือบวมเล็กน้อยบริเวณบริเวณข้อนิ้ว
  5. หากเนื้อเยื่อหยุดติดกันหนักขึ้น อาจเกิดอาการหยุดชะงักของนิ้วและต้องใช้มืออีกมือหรือใช้ความแรงเพิ่มเติมเพื่อเคลื่อนไหว

หากมีอาการดังกล่าวควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม โดยแพทย์อาจสั่งการฝึกอบรมการกดนิ้วและแนะนำการใช้แก้มนิ้วเพื่อช่วยลดอาการบวมและปวดของนิ้วล็อกได้บ้าง ในกรณีที่อาการรุนแรงและไม่ดีขึ้น อาจจะต้องพิจารณาการรักษาด้วยการผ่าตัด ซึ่งจะได้รับคำแนะนำและวิธีการดังกล่าวจากแพทย์ที่ทำการตรวจวินิจฉัยให้

Office Syndrome กับ อาการนิ้วล๊อก

การใช้สมาร์ทโฟนบ่อยๆ อาจทำให้เกิดอาการนิ้วล็อก (Trigger finger) ได้ โดยเฉพาะกับคนที่ใช้สมาร์ทโฟนในท่าที่ไม่ถูกต้อง เช่น การใช้นิ้วหัวแม่มือเพื่อกดปุ่มหรือแตะหน้าจออย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวซ้ำซ้อนในเมื่อเวลานาน และอาจทำให้เกิดการอักเสบของเนื้อเยื่อบริเวณข้อนิ้ว

การใช้สมาร์ทโฟนไม่ใช่สาเหตุหลักในการเกิดนิ้วล็อก แต่อาจเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดอาการนิ้วล็อก เพราะการใช้สมาร์ทโฟนตลอดเวลาสามารถทำให้มีการเคลื่อนไหวซ้ำซ้อนของนิ้วเป็นระยะเวลานานๆ

การป้องกันการเกิดนิ้วล็อกจากการใช้สมาร์ทโฟน สามารถทำได้โดยการใช้นิ้วหัวแม่มือหรือนิ้วก้อยที่ไม่ได้ใช้บ่อยมากในการกดปุ่มหรือแตะหน้าจอ รวมถึงการปรับเปลี่ยนท่าที่ใช้ในการใช้สมาร์ทโฟน โดยหลีกเลี่ยงการใช้สมาร์ทโฟนเป็นเวลานานๆ และมีการพักผ่อนนิ้วบ่อยๆ รวมถึงการฝึกท่าบริหารนิ้วเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อในพื้นที่ของนิ้วและข้อนิ้ว

การรักษานิ้วล๊อก (Trigger finger) สามารถทำได้หลายวิธี ซึ่งจะขึ้นอยู่กับความรุ่งเรืองของอาการ แต่วิธีการรักษาที่พบมากที่สุดคือการใช้ยาและการฝึกหัด ดังนี้

  1. การใช้ยา
  • ยาแก้ปวด: ช่วยบรรเทาอาการปวดและอาการอักเสบ ได้แก่ พาราเซตามอล หรืออีบูโพรเฟน
  • ยาต้านการอักเสบ: ช่วยลดการอักเสบ และช่วยเร่งการฟื้นฟูของเนื้อเยื่อ
  1. การฝึกหัด การฝึกหัดจะช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อและเพิ่มความยืดหยุ่นของเนื้อเยื่อ ซึ่งจะช่วยลดอาการนิ้วล๊อกได้ วิธีการฝึกหัด ได้แก่
  • การออกกำลังกายเบาๆ ด้วยการงอนิ้วมือ
  • การออกกำลังกายด้วยบีบนิ้วมือโดยใช้โฟมอ่อน หรือบริเวณอ่อนของเปลือกตะขอ
  1. การผ่าตัด กรณีที่อาการนิ้วล๊อกไม่ดีขึ้นหลังจากการใช้ยาและการฝึกหัด แพทย์อาจต้องพิจารณาการผ่าตัด โดยการผ่าตัดจะช่วยปลดปล่อยเนื้อเยื่อที่เป็นสิว และทำให้นิ้วล๊อกกลับมาทำงานได้ปกติ