คลินิกกายภาพบำบัด บางพลัด MRT สิรินธร

หมอนรองกระดูกปลิ้นกดทับเส้นประสาท (Slipped disc : Herniated Disc)

หมอนรองกระดูกปลิ้นกดทับเส้นประสาท (Slipped disc : Herniated Disc)

หมอนรองกระดูกปลิ้น (Slipped disc) เป็นอาการที่เกิดขึ้นเมื่อกระดูกปลิ้นในกระดูกสันหลัง (vertebral column) ของมนุษย์มีเนื้อออกมาเบียดหรือทับเส้นประสาทที่ออกมาจากสมอง ซึ่งเนื้อที่ปลิ้นนี้อาจกดทับหรือทำให้เส้นประสาทเสียหาย สาเหตุของโรคนี้อาจเกิดจากการบาดเจ็บ การเคลื่อนไหวผิดปกติ

อาการ

1.ปวดในบริเวณที่มีการกดทับเส้นประสาท เช่น ปวดหลัง

2.รู้สึกระคายเคืองหรือมีอาการปวดหลังร้าวลงขา

3.แขนและขา รู้สึกอ่อนแรง

4.หากไม่มีอาการปวดหลัง อาจจะมีอาการชา โดยเฉพาะหากมีการเบ่งในขณะขับถ่าย

5.มีอาการปวดหลังร้าวลงขา และมีอาการชา รวมทั้งอ่อนแรง ร่วมกับภาวะท้องผูก และปัสสาวะไม่ออก

 

การวินิจฉัย อาจใช้รังสีเอ็กซ์เรย์หรือการซักประวัติและการตรวจร่างกายโดยแพทย์ การรักษาอาจแตกต่างกันขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ การตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) จะทำให้แพทย์สามารถวางแผนการรักษาผู้ป่วยได้ เพราะ MRI สามารถเห็นโครงสร้างของหมอนรองกระดูกสันหลังและเส้นประสาทได้ชัดเจน และเห็นว่ามีการกดทับเส้นประสาทที่ตำแหน่งใดในกรณีที่อาการรุนแรง อาจจำเป็นต้องรักษาผ่าตัดเพื่อลดการกดทับเส้นประสาทและเอาเนื้อแพลงออก แต่การตัดผ่าจะพิจารณาในกรณีสุดท้าย ควรให้แพทย์และทีมแพทย์ตรวจรักษาอย่างละเอียดกับผู้ป่วยก่อนที่จะตัดผ่าหากมีความจำเป็น

 

วิธีรักษา Slipped disc หรือ Herniated disc

อาจแตกต่างกันไปตามความรุนแรงของอาการและความเสี่ยงของผู้ป่วย แพทย์จะกำหนดวิธีการรักษาที่เหมาะสมตามอาการแต่ละราย วิธีการรักษาอาจ

1.การพักผ่อน: การพักผ่อนช่วงแรกอาจช่วยลดอาการปวด แพทย์อาจแนะนำให้ผู้ป่วยหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่เสี่ยงนระยะเวลาการฟื้นตัว

2.การใช้ยา: แพทย์อาจสั่งยาแก้ปวดหรือยาต้านการอักเสบเพื่อควบคุมอาการปวดและอักเสบในระหว่างการรักษา

3.การฝังเข็ม: บางครั้งการฝังเข็ม (acupuncture) หรือการใช้เข็มเจาะที่จุดที่เฉพาะเจาะจงบนร่างกายอาจช่วยในการบรรเทาอาการปวด

4.การกายภาพบำบัด: การบำบัดกายภาพที่ดูแลโดยนักกายภาพบำบัดมืออาจช่วยเพิ่มความแข็งแรงความคงทนของกล้ามเนื้อและกระดูกสันหลัง นอกจากนี้บางครั้งแพทย์อาจแนะนำการใช้เครื่องมือทางฟิสิกส์ เช่น TENS (Transcutaneous Electrical Nerve Stimulation) หรือ ULTRASONIC ช่วยในการบรรเทาอาการปวดและส่งผลดีต่อรักษา 

5.การผ่าตัด: กรณีที่อาการรุนแรงและไม่ตอบสนองต่อการรักษาแพทย์อาจพิจารณาใช้การผ่าตัด เพื่อเอาเนื้อแพลงที่ทรุดหรือส่วนที่ปลิ้นออกมาออก

6.การแพทย์แผนโบราณ: บางครั้งการใช้แพทย์แผนโบราณอาจช่วยในการรักษา การใช้ยาสมุนไพรธรรมชาติ การทำโยคะ หรือการบริหารตัวเองที่บ้าน

การเลือกวิธีการรักษาจะขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการและคำแนะนำของแพทย์ ผู้ป่วยควรปรึกษากับแพทย์เพื่อให้ได้วิธีการรักษาที่เหมาะสมและปรึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพส่วนตัวเพื่อป้องกันการทรุดหรือแผลเป็นหย่อมในอนาคต

 

การกายภาพบำบัด

การกายภาพบำบัดเป็นวิธีที่มักถูกแนะนำในการรักษา Slipped disc หรือ Herniated disc อย่างเป็นทางการ การกายภาพบำบัดมุ่งเน้นที่การฟื้นฟูและเสริมระบบกล้ามเนื้อและกระดูกในของร่างกายเพื่อช่วยลดอาการปวดและเพิ่มความคงทนในระยะยาว

1.การประเมิน: การบำบัดกายภาพจะเริ่มต้นด้วยการประเมินสภาพร่างกายของผู้ป่วยโดยนักกายภาพบำบัดที่มีความเชี่ยวชาญ การประเมินนี้จะช่วยในการกำหนดแผนการรักษาที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย

2.การบริหารกล้ามเนื้อ: การฝึกซ้อมเพื่อเสริมกล้ามเนื้อหลังของร่างกาย เฉพาะกล้ามเนื้อตลอดแนวสันหลัง นี้อาจรวมถึงกล้ามเนื้อหลังล่างและกล้ามเนื้อหลังบน

3.การฟื้นฟูความคงทน: การฝึกซ้อมเพื่อเพิ่มความคงทนของร่างกายในระยะยาว เช่น การวิ่งเดิน เล่นวอลเลย์บอลน้ำ และกิจกรรมอื่น ๆ ที่เหมาะสม

4.การรักษาความยืดหยุ่น: การฝึกซ้อมเพื่อรักษาความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อและข้อต่อ ซึ่งอาจช่วยลดอาการตรึงเมื่อมีการเคลื่อนไหว

5.การเสริมระบบสมองและร่างกาย: การฝึกซ้อมเพื่อเสริมระบบสมองและร่างกายในการควบคุมการเคลื่อนไหวและความต้านทานอื่น ๆ ที่สามารถช่วยในการจัดการอาการปวด

6.การแนะนำการรักษาต่อเนื่อง: นักกายภาพบำบัดอาจแนะนำการฝึกซ้อมและการดูแลสุขภาพที่ผู้ป่วยสามารถฝึกอยู่ในบ้านเพื่อรักษาความคงทนและลดความเสี่ยงให้มีอาการ Slipped disc กลับมาอีกครั้ง

การบำบัดกายภาพควรดำเนินการภายใต้คำแนะนำและความคุ้มครองของนักกายภาพบำบัดที่มีความเชี่ยวชาญ และควรปรึกษาแพทย์ก่อนที่จะเริ่มต้นการกายภาพบำบัดเพื่อให้ได้แผนการรักษาที่เหมาะสมกับสภาพของผู้ป่วยและอาการของ Slipped disc ในกรณีที่มีอาการรุนแรงหรือมีความผิดปกติในการเคลื่อนไหวอื่น ๆ อาจต้องใช้การรักษาเสริมเช่นการใช้ยาหรือการผ่าตัดในบางกรณี การรักษาควรเป็นผลมาจากการประเมินและวินิจฉัยอย่างถูกต้องโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

 

การทำกายภาพบำบัด ด้วยเครื่องมือทางกายภาพบำบัดไม่ว่าจะเป็น TECAR,Shockwave,High power laser, Ultrasound,PMS,Electrical Stimulation รวมถึง Manual technique ต่างๆ  และคำแนะนำการปฏิบัติท่าทางที่เหมาะสม เพื่อบรรเทาอาการปวด และรักษาอาการของโรค

 

ติดต่อเรา

Tel:098 225 2255

Facebook:Bangkok pain clinic คลินิกกายภาพบำบัด

Gmail:bangkokpainclinic@gmail.com

Website:bangkokpainclinic.com

 

โรครองช้ำ (Plantar Fasciitis)

โรครองช้ำ

โรครองช้ำหรือพังผืดใต้ฝ่าเท้าอักเสบ (Plantar Fasciitis) เป็นภาวะอักเสบของเนื้อเยื่อใต้ฝ่าเท้าที่เรียกว่าเส้นเอ็น Plantar Fascia ซึ่งเป็นเนื้อเยื่อช่วยพยุงอุ้งเท้าให้อยู่ในท่าทางปกติ และทำหน้าที่รับแรงกระทำที่เกิดขึ้นกับฝ่าเท้า ขณะเดินหรือวิ่งของฝ่าเท้า โรคนี้อาจเกิดขึ้นเมื่อเส้นเอ็น Plantar Fascia ถูกยืดเกินไป ทำให้เกิดอาการอักเสบและปวดใต้ฝ่าเท้า รองช้ำ (Plantar Fasciitis) เป็นโรคที่มักพบในผู้ที่มีกิจกรรมที่ต้องยืนนานหรือใช้ฝ่าเท้ามาก เช่น วิ่งหรือเดินเยอะ หรือผู้ที่มีน้ำหนักเกินมาตราฐาน มักเกิดอาการปวดใต้ฝ่าเท้าขณะเดินหรือยืนนานๆ

อาการของโรครองช้ำ (Plantar Fasciitis) ประกอบด้วย:

1.อาการปวดใต้ฝ่าเท้า มักเกิดบริเวณหน้าส้นเท้า

2.ปวดเฉพาะเมื่อเริ่มเดินหรือยืนเป็นเวลานาน

3.อาจเกิดอาการปวดมากขึ้นในตอนเช้าหรือหลังจากตื่นนอน

4.บางครั้งอาจมีอาการบวมบริเวณใต้ฝ่าเท้า

 

การรักษาโรครองช้ำ (Plantar Fasciitis) อาจมีวิธีดังนี้:

1.การพักผ่อน: ลดกิจกรรมที่ใช้ฝ่าเท้า เพื่อให้เนื้อเยื่อมีโอกาสฟื้นตัวและลดอาการอักเสบ

2.การบริหารกล้ามเนื้อ: การทำแบบฝึกยืดเนื้อเยื่อใต้ฝ่าเท้าลดการปวดหรืออักเสบ

3.การใช้รองเท้าที่เหมาะสม: การเลือกใช้รองเท้าที่ช่วยพยุงอุ้งเท้าให้อยู่ในท่าทางปกติ

4.การใช้อุปกรณ์ช่วยเหลือ: รองเท้าแผ่นเสริมหรือใช้สายรัดข้อข้อเท้าเพื่อลดแรงกระแทก

5.การใช้ยา: แพทย์อาจสั่งให้ใช้ยาลดการอักเสบหรือยาแก้ปวดเพื่อช่วยบรรเทาอาการ

6.การฝังเข็ม: การรักษาด้วยการฝังเข็มหรือการกายภาพบำบัดบางกรณีอาจพิจารณาตามคำแนะนำของแพทย์

 

ที่ผ่านมา ของโรครองช้ำหรือพังผืดใต้ฝ่าเท้าอักเสบ (Plantar Fasciitis) การรักษามีความสำคัญเพื่อลดอาการปวดและป้องกันการกลับมาของโรคนี้ นอกจากวิธีการที่ได้กล่าวมาแล้วยังมีเสริมอีกบางวิธีที่อาจช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้นได้:

1.การทำกายภาพบำบัด: กายภาพบำบัดอาจช่วยในการเสริมกล้ามเนื้อและเพิ่มความยืดหยุ่นของเนื้อเยื่อใต้ฝ่าเท้า นอกจากนี้กายภาพบำบัดยังช่วยลดอาการปวดและเพิ่มประสิทธิภาพของการรักษา.

2.การนวด: การนวดเนื้อเยื่อใต้ฝ่าเท้าอาจช่วยลดอาการปวดและความตึงของกล้ามเนื้อ แต่ควรให้นักกายภาพบำบัดหรือนักนวดมืออาชีพทำการนวดนี้เพื่อป้องกันการบาดเจ็บ

3.การใช้เครื่องนวดไฟฟ้า: เครื่องนวดไฟฟ้าอาจช่วยในการลดอาการปวดและความตึงของเนื้อเยื่อใต้ฝ่าเท้า แต่ควรปรึกษากับแพทย์หรือนักกายภาพบำบัดก่อนการใช้งาน.

4.การใช้อุปกรณ์ช่วยเหลือ: การใช้อุปกรณ์ช่วยเหลือเช่น อาศัยเครื่องยืนตัวเสริมข้อหรือรองเท้าที่การเลือกใช้รองเท้าที่ช่วยพยุงอุ้งเท้าสามารถช่วยลดแรงกระแทกต่อเนื้อเยื่อใต้ฝ่าเท้า.

5.การศึกษาแนวทางการเลือกรองเท้า: การเลือกใช้รองเท้าที่มีแนวทางการออกแบบที่เหมาะสมสำหรับการป้องกันและรักษาโรครองช้ำมีความสำคัญ รองเท้าควรเลือกใช้ที่ช่วยพยุงอุ้งเท้า

ด้านหน้าและด้านหลังของฝ่าเท้าและที่ส้นเท้า.

สำหรับการรักษาโรครองช้ำหรือพังผืดใต้ฝ่าเท้าอักเสบ ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านกระดูกและข้อ และปฏิบัติตามคำแนะนำที่ได้รับอย่างเคร่งครัด เนื่องจากการรักษาที่ถูกต้องและทันเวลาสามารถช่วยให้คุณกลับคืนสุขภาพของฝ่าเท้าได้อย่างรวดเร็วและป้องกันอาการกลับมาเกิดขึ้นในอนาคต

 

การป้องกันโรครองช้ำ (Plantar Fasciitis) สามารถทำได้โดยขั้นตอนต่อไปนี้:

  1. การเลือกรองเท้าที่เหมาะสม: ในชีวิตประจำวันหรือในกิจกรรมกีฬา ควรเลือกรองเท้าที่รองรับเท้าอย่างเหมาะสมและช่วยพยุงอุ้งเท้าได้ดีกับทรงเท้าของคุณ หากคุณมีประวัติของโรครองช้ำหรือมีความเสี่ยง ควรใส่รองเท้าที่มีความรองรับหรือช่วยพยุงอุ้งเท้าหรือรองเท้าพื้นเรียบ แต่ถ้าคุณเป็นคนที่ต้องทำงานนานๆ ต้องใส่รองเท้าที่มีความนุ่มสบายและมีการดูแลความสบายของเท้าอย่างเหมาะสม
  2. การฝึกยืดเส้นใยเท้า: การทำการยืดเส้นใยเท้าเป็นประจำ โดยเฉพาะในช่วงเช้าหลังจากตื่นนอน สามารถช่วยลดความตรึงของส้นเท้าและป้องกันการอักเสบได้
  3. ควบคุมน้ำหนัก: ควรรักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติหรือสมส่วน เพราะน้ำหนักเกินมากอาจทำให้เส้นใยเท้าเกิดการปวดอักเสบและกระทบการใช้ชีวิตประจำวันได้
  4. การป้องกันการบาดเจ็บ: หากมีกิจกรรมที่เสี่ยงต่อการบาดเจ็บเช่นการวิ่งหรือกีฬาที่ใช้ส้นเท้ามาก ควรหาข้อมูลการป้องกันและเตรียมตัวอย่างเหมาะสม และควรเลือกใช้รองเท้าที่มีการรองรับเท้าและมีความเหมาะสมกับอุ้งเท้าของเรา
  5. การพักผ่อนและการฟื้นตัว: หากคุณรู้สึกปวดส้นเท้า ควรให้เท้าพักผ่อน และไม่ควรทำกิจกรรมที่ทำให้เส้นใยเท้าเสียดสีมากเกินไป ในบางกรณีอาจต้องพักระยะยาวเพื่อรักษาตัว
  6. การรักษาความสมดุลของกล้ามเนื้อ: การฝึกกายภาพและสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและเส้นใยเท้า สามารถช่วยป้องกันการเกิดอักเสบ หรือปวดได้
  7. พบแพทย์: หากคุณมีอาการปวดส้นเท้าเรื้อรังหรืออาการหนักขึ้น ควรพบแพทย์หรือนักกายภาพบำบัดเพื่อการวินิจฉัยและการรักษาเพิ่มเติม

การป้องกันโรครองช้ำเป็นสิ่งสำคัญเพื่อรักษาสุขภาพของเท้าและป้องกันอาการปวดส้นเท้าในอนาตคได้

การทำกายภาพบำบัด ด้วยเครื่องมือทางกายภาพบำบัดไม่ว่าจะเป็น TECAR,Shockwave,High power laser, Ultrasound,PMS,Electrical Stimulation รวมถึง Manual technique ต่างๆ  และคำแนะนำการปฏิบัติท่าทางที่เหมาะสม เพื่อบรรเทาอาการปวด ป้องกันการบาดเจ็บของส้นเท้าเรื้อรัง และลดการอักเสบ

 

ติดต่อเรา

Tel:098 225 2255

Facebook:Bangkok pain clinic คลินิกกายภาพบำบัด

Gmail:bangkokpainclinic@gmail.com

Website:bangkokpainclinic.com

 

 

สาเหตุของการปวดเข่า (Knee pain)

ปวดเข่าเป็นอาการที่สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ดังนี้:

  1.       อุบัติเหตุ: เป็นอีกสาเหตุที่ทำให้ข้อเข่าได้รับบาดเจ็บ เช่น การตกหรือกระแทกข้อเข่า, การเล่นกีฬาที่เกิดการกระแทก เป็นต้น
  2.     ข้อเข่าเสื่อม (Osteoarthritis): เป็นโรคที่เกิดจากการสึกกร่อนของกล้ามเนื้อและกระดูกข้อเข่า ทำให้ข้อเข่าอ่อนแรงและปวด
  3.     เข่าด้านในอักเสบ(Knee Bursitis): การอักเสบของถุงน้ำในข้อเข่าสามารถทำให้เกิดการปวดเข่า
  4.       เอ็นหัวเข่าอักเสบ (Knee Tendonitis): การอักเสบของเส้นเอ็นที่เชื่อมต่อกล้ามเนื้อกับกระดูกข้อเข่า
  5.       การบิดเข่าหรือเคล็ดเข่า (Knee Sprain): การบิดหรือการเคล็ดของข้อเข่าสามารถทำให้เกิดการบาดเจ็บและปวดเข่าได้
  6.       เก๊าท์ (Gout):โรคเก๊าท์ (Gout) เป็นโรคที่เกิดขึ้นเมื่อมีการสะสมของกรดยูริกในร่างกาย โรคนี้มักเกิดขึ้นในข้อต่างๆ ของร่างกาย แต่มักพบมากที่สุดในข้อปลายเท้า (big toe) โดยส่วนใหญ่เกิดขึ้นที่ข้อเท้า
  7.       การบาดเจ็บของเส้นเอ็นที่อยู่บริเวณต้นขาด้านนอกเชื่อมกล้ามเนื้อบริเวณด้านข้างและกล้ามเนื้อก้นด้านข้างยาวลงมาผ่านเข่า (Iliotibial Band Syndrome): การใช้งานมากของเส้นเอ็นอาจทำให้เกิดการอักเสบและปวดเข่า
  8.       โรคอื่นๆ: การปวดเข่ายังสามารถเกิดขึ้นจากโรคอื่นๆ เช่น โรคข้อเข่าโดยเฉพาะ (Rheumatoid Arthritis), การติดเชื้อ, หรืออาการอื่นๆ ที่มีผลต่อข้อเข่า

การรักษาอาการปวดเข่าจะขึ้นอยู่กับสาเหตุของอาการ การปรึกษาแพทย์เป็นสิ่งสำคัญเพื่อวินิจฉัยและรับคำแนะนำเกี่ยวกับการรักษาที่เหมาะสม เช่น การพบแพทย์อาจแนะนำการฝึกหัดกล้ามเนื้อและกำจัดอาการอักเสบด้วยยาต้านอักเสบหรือรักษาแบบศัลยกรรมเมื่อจำเป็น

การรักษาปวดเข่าสามารถทำได้หลายวิธี เช่น

  1. กายภาพบำบัด: แพทย์หรือนักกายภาพบำบัดจะสามารถตรวจประเมินร่างกาย และให้การรักษาทางกายภาพบำบัด  รวมถึงแนะนำการทำกิจกรรมที่เหมาะสมเพื่อป้องกันการปวดเข่าที่เพิ่มมากขึ้นและเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อข้อเข่าเพื่อลดแรงกระทำต่อข้อเข่าขณะทำกิจกรรม หรือกิจวัตรประจำวันได้ 
  2. การใช้ยา: การใช้ยาลดปวด เช่น ยาระงับปวด (pain relievers) หรือยาต้านอักเสบ (anti-inflammatory drugs) อาจช่วยลดอาการปวดเข่าและการอักเสบของข้อเข่า
  3. การสวมอุปกรณ์ช่วยพยุงข้อเข่า : การใช้เข่าเสริมหรืออุปกรณ์ช่วยพยุงอื่นๆ เช่น knee support สามารถช่วยลดแรงที่กระทำต่อข้อเข่าที่มากเกินไป ช่วยพยุงข้อเข่าไม่ให้มีการบาดเจ็บซ้ำในผู้ที่ได้รับการบาดเจ็บบริเวณข้อเข่า หรือช่วยกระชับข้อเข่า เพิ่มความมั่นคงให้กับข้อเข่า และบรรเทาอาการปวดได้
  4. การแก้ไขรูปแบบการเดิน: หากรูปแบบการเดินของคุณไม่ถูกต้อง กายภาพบำบัดอาจช่วยปรับปรุงรูปแบบการเดินเพื่อลดแรงที่กระทำต่อข้อเข่าได้ 
  5. การผ่าตัด: ในกรณีที่มีความเสี่ยงสูงหรืออาการรุนแรงมาก แพทย์อาจแนะนำการผ่าตัดข้อเข่าเพื่อซ่อมแซมหรือใส่อุปกรณ์เทียมแทนข้อเข่าที่เสื่อมสภาพ
  6. การบริหารสุขภาพรวม: การรักษาสุขภาพทั่วไป เช่น การควบคุมน้ำหนัก, การออกกำลังกายอย่างเหมาะสม, และการบริหารสตรีอย่างดี สามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดปัญหาข้อเข่าได้

การรักษาปวดเข่าขึ้นอยู่กับสาเหตุและระดับความรุนแรงของปัญหา ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและแผนการรักษาที่เหมาะสมสำหรับอาการปวดของแต่ละบุคคลและควรรักษาตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดเพื่อป้องกันอันตรายและฟื้นฟูสภาพข้อเข่าให้ดีขึ้นได้อย่างเหมาะสม 

การทำกายภาพบำบัดถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ที่ไม่อยากผ่าตัด ด้วยเครื่องมือทางกายภาพบำบัดไม่ว่าจะเป็น TECAR,Shockwave,High power laser, Ultrasound,PMS,Electrical Stimulation รวมถึง Manual technique ต่างๆ  และคำแนะนำการปฏิบัติท่าทางที่เหมาะสม เพื่อบรรเทาอาการปวด ป้องกันการบาดเจ็บของข้อเข่าที่อาจเพิ่มขึ้นจากการใช้ชีวิตประจำวัน และฟื้นฟูกล้ามเนื้อให้แข็งแรงมากขึ้น 

ติดต่อเรา

Tel:098 225 2255

Facebook:Bangkok pain clinic คลินิกกายภาพบำบัด

Gmail:bangkokpainclinic@gmail.com

Website:bangkokpainclinic.com

 

 

Spondylolisthesis กระดูกสันหลังเคลื่อน

กระดูกสันหลัง

            ทุกคนรู้หรือไม่ว่ากระดูกสันหลังเป็นอวัยวะที่สำคัญกับร่างกายที่ไม่ควรมองข้าม เนื่องจากกระดูกสันหลังเป็นส่วนที่ช่วยให้
การเคลื่อนไหวของร่างกายเริ่มตั้งแต่คอไปจนถึงหลังของก้น ซึ่งเป็นแกนกลางของลำตัวมีลักษณะเป็นข้อต่อที่มีหมอนรองกระดูก
แทรกอยู่แต่ละขั้น  และมีเส้นประสาทอยู่มากมายทำหน้าที่คือป้องกันอันตรายให้แก่ไขสันหลัง เป็นแกนยึดร่างกาย เป็นที่ยึดเกาะ
ของกล้ามเนื้อต่างๆ เป็นส่วนที่ส่งสารออกของเส้นประสาทไปยังส่วนต่างๆของร่างกาย และให้ความสูง

โรคที่เกิดบริเวณกระดูกสันหลัง

  • โรคหมอนรองกระดูกเคลื่อนทับเส้นประสาท (Intervertebral Disc herniation)
  • โรคข้อต่อกระดูกสันหลังเสื่อมเคลื่อน (Facet Dislocation)
  • โรคช่องไขสันหลังตีบ (Spinal Stenosis)
  • การผิดรูปของกระดูกสันหลัง กระดูกสันหลังเคลื่อน (Spondylolisthesis)
  • กระดูกสันหลังคด (Scoliosis)
  • โรคมะเร็งกระดูกสันหลังหรือมะเร็งส่วนอื่นลามมาที่กระดูกสันหลัง
  • โรคกระดูกสันหลังติดเชื้อวัณโรคและแบคทีเรีย
  • โรคกระดูกสันหลังอักเสบ เช่น โรครูมาตอยด์

 

ในบางครั้งการใช้ชีวิตประจำวันของคนเรานั้นต่างกันอาจทำให้เรามองข้ามในบางพฤติกรรมที่ทำให้เสี่ยงหรืออันตรายกับกระดูกสัน
หลังของเรา ในบางอาชีพที่ยกของหนักอาจมีอาการปวดหลัง ปวดเอว ปวดหลังชาลงขา หรือปวดแปร๊บๆที่หลัง ในกรณีแบบนี้
ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจ X-ray และทำการรักษาในขั้นตอนต่อไป

พฤติกรรมเสี่ยงทำร้ายกระดูกสันหลัง

1.ยกของหนัก ยกของผิดท่า  ก้มยกของโดยไม่ย่อเข่าลงและหลังไม่ตรง  

2.นั่งท่าเดิมนานๆ ขาไม่งอ 90 องศา แขนไม่งอกับโต๊ะ 90 องศา นั่งหลังงอ ห่อไหล่ ไขว้ห้าง ซึ่งมักพบในกลุ่มคนทำงานหน้าคอม

  1. ก้มหน้าเล่นโทรศัพท์มือถือเป็นเวลานาน ทำให้กระดูกสันหลังต้องรับน้ำหนักคอ บ่า ไหล่

4.สะพายกระเป๋าหนักๆ ประจำ ส่งผลให้กล้ามเนื้อเกิดการอักเสบและหากเป็นระยะเวลานานๆก็อาจจะส่งผลต่อกระดูกสันหลังได้

  1. การนอนท่าที่ไม่ถูกต้อง นอนหมอนสุงเกินไปหรือการนอนบนที่นอนแข็ง ก็ส่งผลให้กระดูกสันหลังไม่เป็นเส้นตรง อาจเกิดผลข้างเคียงกับกระดูกสันหลังได้ในภายหลัง

Spondylolisthesis กระดูกสันหลังเคลื่อน

โครงสร้างปกติของกระดูกสันหลังจะเป็นข้อปล้องเรียงตัวต่อกัน ซึ่งแปลว่าภาวะกระดูกสันหลังเคลื่อนคือเกิดการเคลื่อนที่ผิดปกติไปจากการเรียงตัวเป็นแนวยาว ก็คือเคลื่อนตัวไปทางด้านหน้าด้านหลัง หรือด้านข้าง จึงเป็นสาเหตุทำให้มีอาการปวดบริเวณหลัง

อาการ

1.อาการปวด ตึง ที่กล้ามเนื้อขาด้านหลัง ปวดหลังช่วงล่าง ปวดบริเวณบั้นเอว ปวดบริเวณสะโพก แต่ละคนจะมีอาการปวดบริเวณที่แตกต่างกันไป

2.อาการปวดสะโพกร้าวลงขา 

3.ปวดหลังร้าวลงสะโพกและขาถึงปลายเท้า

4.ปวดหรือชาบริเวณขา ต้นขา และสะโพก และอาจมีอาการอ่อนแรงร่วมด้วย 

5.พบแนวกระดูกสันหลังโค้งมากเกินไป หรือพบแนวกระดูกสันหลังคดร่วมด้วย

6.กลั้นปัสสาวะหรืออุจจาระไม่ได้

การกายภาพบำบัด

การรักษาโดยกายภาพบำบัดจะช่วยลดอาการปวดหลังและอักเสบจากกระดูกสันหลังเคลื่อนดังนี้

  1. GBO เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าคลายกล้ามเนื้อหลัง ช่วยทำให้กล้ามเนื้อข้างแนวกระดูกสันหลังลดความตึงตัวลและ เครื่องอัลตร้าซาวด์ช่วยลดการอักเสบของกล้มเนื้อมัดใหญ่บริเวณแนวกระดูกสันหลัง
  2. HIGH POWER LASERช่วยลดการอักเสบของเส้นเอ็นของข้อต่อแนวกระดูกสันหลัง
  3. TRACTION เครื่องดึงหลังจะช่วยเพิ่มช่องว่างระหว่างกระดูกสันหลัง จัดแนวกระดูกสันหลังเคลื่อนไม่ให้เคลื่อนออกมามากขึ้น
  4. ใช้แผ่นประคบเย็นลดการอาการปวด บวม แดง ร้อนบริเวณที่มีกล้ามเนื้ออักเสบข้างแนวกระดูกสันหลัง
  5. PMS เครื่องแม่เหล็กไฟฟ้า จะช่วยฟื้นฟูเส้นประสาทที่โดยกดทับทำให้อาการชาและอ่อนแรงที่ขาดีขึ้น
  6. ใช้อุปกรณ์พยุงหลังใส่ในวันที่มีกิจกรรมการเดินนาน ยืนนานหรือนั่งติดต่อกันหลายชั่วโมง เพื่อให้กล้ามเนื้อหลังและแนวกระดูกสันหลังที่เคลื่อนได้พักการใช้งานในระยะที่อาการปวดรุนแรง
  7. ทำท่ากายบริหารเพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อช่วยพยุงข้อต่อให้ไม่เคลื่อนมากขึ้นภายใต้การดูแลของนักกายภาพบำบัด จะเป็นท่าที่ทำแล้วไม่ไปกระตุ้นการเคลื่อนที่ของกระดูกสันหลังและอาการปวดให้กำเริบมากขึ้น

ติดต่อเรา

Tel:098 225 2255

Facebook:Bangkok pain clinic คลินิกกายภาพบำบัด

Gmail:bangkokpainclinic@gmail.com

Website:bangkokpainclinic.com

 

โรคโพรงกระดูกสันหลังตีบแคบ (Spinal Stenosis) และ โรคหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อนกดทับเส้นประสาท หรือ Herniated Nucleus Pulposus(HNP)

โรคโพรงกระดูกสันหลังตีบแคบ (Spinal Stenosis)

เป็นโรคที่เกิดจากอาการเสื่อมของประดูกสันหลังหรือหมอนรองกระดูกสันหลัง ส่งผลให้เกิดพังผืดและกระดูกงอกทำให้โพรงเส้นประสาทแคบลง และบีบรัดบริเวณเส้นประสาทได้  มักพบอาการดังต่อไปนี้

-ปวดหลังร้าวลงสะโพกหรือขา

– มีอาการอ่อนแรงของขา

-มีอาการชาตาม ขาหรือเท้า

-อาการแย่ลงเมื่อเดินหรือยืนนานๆ หรือแอ่นหลังมากๆ

โรคหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อนกดทับเส้นประสาท หรือ Herniated Nucleus Pulposus(HNP)

โรคหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อน โรคที่เกิดจากการฉีกขาดของเยื้อหุ้มหมอนรองกระดูกสันหลังชั้นนอก ทำให้สารน้ำหรือส่วนไส้ชั้นในหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อนหรือปลิ้นออกมากดทับเส้นประสาทไขสันหลัง

อาการของโรคหมอนรองกระดูกเคลื่อน

จะแตกต่างกันออกไปตามตำแหน่งของเส้นประสาทที่ถูกกด โดยมีอาการหลักๆ ดังนี้

-ปวดร้าวตามเส้นประสาท

-ปวดหลังส่วนล่าง

-ชาตามเส้นประสาทที่ถูกกดทับ

-อ่อนแรงตามเส้นประสาทที่ถูกกดทับ

-งอตัวลำบาก งอหลังได้ไม่สุด

-ปวดเมื่อทำกิจกรรม เช่น ออกแรง ไอ จาม เบ่ง

-ปวดมากเวลานั่งนายๆ เช่น นั่งขับรถ

ปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรค

  • อายุที่เพิ่มมากขึ้น
  • พฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น ยกของหนัก ยกของผิดท่า เดินเยอะ
  • การบาดเจ็บบริเวณกระดูกสันหลัง เช่น การเกิดอุบัติเหตุที่รุนแรง
  • เนื้องอกหรือมะเร็งที่โตจนไปเบียดช่องไขสันหลัง

การรักษาทางกายภาพบำบัด

สามารถรักษาทางกายภาพบำบัดได้เพื่อรักษาอาการให้ดีขึ้น หรือป้องกันไม่ให้เกิดความรุนแรงของโรคมากกว่าเดิม หรือในผู้ที่ไม่อยากผ่าตัด

1.การใช้เครื่องมือทางกายภาพบำบัด เช่น

การดึง หรือ Traction

ช่วยยืดกล้ามเนื้อเพื่อคลายกล้ามเนื้อที่มีการเกร็งตัว ลดแรงกดที่ทำต่อข้อต่อของกระดูกคอหรือหลัง  ลดการกดทับของเส้นประสาท โดยการดึงทำให้ช่องว่างระหว่างของกระดูกสันหลังกว้างขึ้น ลดแรงกดบนหมอนรองกระดูกสันหลังช่วยให้หมอนรองกระดูกกลับเข้าที่ได้ โดยทำให้ช่องว่างระหว่างกระดูกสันหลังกว้างขึ้น ส่งผลให้อาการปวดหรือชาลดลงได้

เครื่องกระตุ้นสนามแม่เหล็ก หรือ Peripheral Magnetic Stimulation (PMS)  เครื่องกระตุ้นระบบประสาทด้วยการใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่สามารถกระตุ้นทะลุผ่านเสื้อผ้า ลงไปถึงเนื้อเยื่อและกระดูกได้ลึกประมาณ 10 ซม. คลื่นจาก PMS จะส่งคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ไปกระตุ้นที่เส้นประสาทโดยตรง มีการกระตุ้นเนื้อเยื่อบริเวณที่ปวด ทำให้เกิดการไหลเวียนโลหิตบริเวณกล้ามเนื้อดียิ่งขึ้น รวมถึงส่งสัญญาณคลื่นแม่เหล็กกระตุ้นแขน ขา บริเวณที่มีอาการชาหรืออ่อนแรง เร่งการฟื้นตัวของเส้นประสาทที่บาดเจ็บได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยรักษาอาการเจ็บปวด ได้ทั้งปวดเฉียบพลันและเรื้อรัง และยังมีกลไกการรักษาเป็นการกระตุ้นให้มีการซ่อมสร้างของเนื้อเยื่ออีกด้วย

2.Mobilization เป็นการเคลื่อนไหวข้อต่อโดยให้แรงที่เป็นจังหวะซ้ำๆในช่วงการเคลื่อนไหวของข้อต่อที่มีอาการติด หรือถูกจำกัดการเคลื่อนไหว จะใช้รักษาในกรณีที่ตรวจเจอว่ามีข้อติด (ดัดดึงข้อต่อ) หรือมีกล้ามเนื้อที่ต้องใช้มือช่วยคลายความตึง
3.การออกกำลังกายเฉพาะบุคคล เพื่อกระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อ เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว การยืดเหยียดกล้ามเนื้อ การบริหารเส้นประสาท
4.Home Program และการให้คำแนะนำต่างๆ โดยให้ท่าบริหารเฉพาะบุคคล และการแนะนำในการปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตต่างเพื่อป้องกันการเกิดความรุนแรงของโรคที่เพิ่มมากขึ้น

 

ติดต่อเรา

Tel:098 225 2255

Facebook:Bangkok pain clinic คลินิกกายภาพบำบัด

Gmail:bangkokpainclinic@gmail.com

Website:bangkokpainclinic.com

การทดสอบโรคปลอกหุ้มเส้นเอ็นข้อมืออักเสบ

ตรวจร่างกาย

Finkelstein’s test

 เป็นการทดสอบเพื่อวินิจฉัยโรคปลอกหุ้มเส้นเอ็นข้อมืออักเสบ  De Quervain’s disease ภาวะการณ์อักเสบเรื้อรังของเส้นเอ็นและปลอกหุ้มเส้นเอ็น เกิดจากการเสียดสีของเอ็นบริเวณนิ้วโป้ง เอ็นกล้ามเนื้อเหยียดนิ้วโป้ง Extensor pollicis brevis เอ็นกล้ามเนื้อกางนิ้วโป้ง Abductor pollicis longus และปลอกหุ้มเอ็นข้อมือ Extensor retinaculum ที่มากเกินไป จนเกิดการอักเสบและหนาตัวขึ้นของเส้นเอ็นและปลอกหุ้มเอ็น ทำให้ไม่สามารถเหยียดหรืองอนิ้วได้

 สำหรับผู้ที่มีอาการ  ปวด บวม แดง ร้อน ที่ข้อมือบริเวณโคนนิ้วโป้ง ปวดข้อมือมากขึ้นเมื่อมีการใช้ หรือ ขยับข้อมือ เช่น เวลาบิดลูกบิดประตู ใช้โทรศัพท์มือถือ  หยิบจับสิ่งของ   อุ้มลูก  กลุ่มคนทำงานคอมพิวเตอร์ คนที่ชอบเล่นเกมส์ หรือ โทรศัพท์มือถือเป็นเวลานาน หรือ  นักกีฬา ที่ต้องใช้ข้อมือเป็นหลัก นักกีฬาแบดมินตัน, ปิงปอง ,วอลเลย์บอล เป็นต้น

 หลังจากการซักประวัติ และการตรวจร่างกายดำเนินมาถึงขั้นตอนเกือบสุดท้ายนักกายภาพมักทำการทดสอบเพื่อยืนยันว่าอาการปวดนิ้วโป้ง หรือบางรายอาจมีอาการปวดร้าวลงมาที่ข้อศอกได้ มาจากบาดเจ็บของเอ้นกล้ามเนื้อและปลอกหุ้มเอ็นหรือไม่ นักกายภาพบำบัดมักจะทำการทดสอบ ที่เรียกว่า Finkelstein’s test

โดยการตรวจประเมินมีขั้นตอนดังต่อไปนี้

1.เหยียดแขนตรง หันนิ้วโป้งขึ้นด้านบน

2.หักนิ้วโป้งเข้าหาฝ่ามือให้มากที่สุด

3.กำมือให้นิ้วที่เหลือทั้ง 4 นิ้ว อยู่เหนือนิ้วโป้ง

4.หักข้อมือลงไปทางด้านนิ้วก้อย

หากมีอาการปวดบริเวณโคนนิ้วโป้ง อาจมีการอักเสบของเอ็นกล้ามเนื้อ และปลอกหุ้มเอ็นกล้ามเนื้อได้

ผู้ที่มีอาการสามารถรักษาโดยการทำกายภาพบำบัด โดยการลดการอักเสบ ลดปวด และเร่งการฟื้นฟูเนื้อเยื่อที่ได้รับการบาดเจ็บ ด้วยเครื่องมือทางกายภาพบำบัด ไม่ว่าจะเป็น Laser , Shockwave , Radio Frequency , กระตุ้นไฟฟ้า ,Ultrasound  และ PMS รวมถึงการออกกำลังการเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ การยืดกล้ามเนื้อเฉพาะมัด เพื่อป้องกันและลดโอกาสเกิดอาการอักเสบของเอ็นข้อมือได้

ติดต่อเรา

Tel:098 225 2255

Facebook:Bangkok pain clinic คลินิกกายภาพบำบัด

Gmail:bangkokpainclinic@gmail.com

Website:bangkokpainclinic.com

ภาวะไหล่ติดหรือFrozen shoulder

Frozen shoulder หรือภาวะไหล่ติด

ไหล่ติดเป็นภาวะที่มีการขยับข้อไหล่ได้น้อยลง โดยเริ่มจากน้อยๆเช่นไม่สามารถยกไหล่ได้สุดหรือไขว้หลังได้ไม่สุด หากไม่ทำการรักษาอาการจะเป็นมากขึ้นจนขยับได้น้อยลงกว่าเดิมหรือไม่ได้เลย

สาเหตุของข้อไหล่ติด

  • สาเหตุหลักคือการอักเสบของเนื้อเยื่อที่อยู่รอบข้อไหล่ ซึ่งเรียกว่า เยื่อหุ้มข้อไหล่ (Capsule) โดยปกติเยื่อหุ้มข้อไหล่จะค่อนข้างยืดหยุ่นและสามารถขยายหรือหดตัวตามการขยับของข้อไหล่ แต่เมื่อเกิดภาวะข้อไหล่ยึดติดขึ้น เยื่อหุ้มจะมีการอักเสบและหดตัวจนไม่สามารถยืดหยุ่นได้เหมือนเดิม ทำให้ขยับข้อไหล่ได้ลดน้อยลง และมีอาการปวดร่วมด้วยเสมอ
  • การบาดเจ็บที่ข้อไหล่ การกระแทก การขยับข้อไหล่เป็นเวลานาน การอักเสบของกล้ามเนื้อเอ็นรอบข้อไหล่ สามารถนำไปสู่การอักเสบของเยื่อหุ้มข้อไหล่ได้ทั้งสิ้น ซึ่งส่งผลทำให้ผู้ป่วยมีภาวะข้อไหล่ยึดติดในที่สุด

อาการข้อไหล่ติด

เกิดอาการปวดเจ็บตื้อๆ โดยอาการปวดจะเพิ่มขึ้นเมื่อมีการเคลื่อนไหว อาการเด่นชัดคือไม่สามารถขยับข้อไหล่ได้ มีอาการปวดเวลานอนทับ หรือเวลากลางคืน อาการของโรคมี 3 ระยะ ได้แก่

ระยะที่ 1 ระยะเจ็บปวด อาการปวดจะค่อยๆเพิ่มขึ้น อาจปวดแม้ไม่ได้ทำกิจกรรม ระยะนี้มักปวดนาน 6 สัปดาห์ – 9 เดือน มุมการเคลื่อนไหวของข้อไหล่ลดลง

ระยะที่ 2 ระยะข้อยึด อาการปวดระยะแรกยังคงอยู่ แต่จะปวดลดลง การเคลื่อนไหวของข้อไหล่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยทั่วไประยะนี้อาจนาน 4 – 9 เดือน หรือนานกว่านี้

ระยะที่ 3 ระยะฟื้นตัว อาการปวดจะลดลง และการเคลื่อนไหวข้อไหล่จะค่อยๆดีขึ้นในช่วง 5 เดือน – 2 ปี แต่อย่างไรก็ตามหากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ทำการรักษา บางรายอาจเกิดภาวะขยับแขนหรือข้อไหล่ไม่ได้อย่างถาวร จนต้องเข้ารับการผ่าตัดเพื่อแก้ไขปัญหา

การรักษาทางกายภาพบำบัดในผู้ป่วยข้อไหล่ติด

  • ซักประวัติ ตรวจร่ายกายอย่างละเอียด และวินิจฉัยโรคโดยนักกายภาพบำบัด
  • TECAR Therapy หรือการรักษาด้วยคลื่นวิทยุ เหนี่ยวนำให้เกิดความร้อนลึกลงไปยังกล้ามเนื้อและเยื่อหุ้มข้อไหล่ที่มีปัญหา เพื่อซ่อมแซมและคลายกล้ามเนื้อรอบข้อไหล่ที่แข็งเกร็ง อีกทั้งยังเพิ่มความยืดหยุ่นให้แก่เยื่อหุ้มข้อไหล่ชั้นลึกอีกด้วย ทำให้รู้สึกผ่อนคลายและลดอาการปวด
  • Mobilization หรือการดัดดึงข้อต่อ ยืดกล้ามเนื้อรอบข้อไหล่ เพื่อเพิ่มการเคลื่อนไหวของข้อไหล่ เพิ่มความยืดหยุ่นของเยื่อหุ้มข้อไหล่และกล้ามเนื้อบริเวณนั้น
  • Shockwave Therapy หรือการรักษาด้วยคลื่นกระแทก ช่วยคลายกล้ามเนื้อที่เกร็งตัวเป็นจุดกดเจ็บ ร่วมทั้งสลายพังผืด เพิ่มการไหลเวียนของเลือด เร่งกระบวนการซ่อมแซมของกล้ามเนื้อและเส้นเอ็น
  • High Power Laser Therapy หรือเครื่องเลเซอร์กำลังสูง สามารถลดอาการปวดอักเสบเฉียบพลัน กระตุ้นการซ่อมแซมเส้นเอ็นและเนื้อเยื่อ
  • การยืดกล้ามเนื้อ
  • การออกกำลังกายหรือท่าบริหารเฉพาะบุคคล
  • Home program (ยืดกล้ามเนื้อด้วยตนเอง+ออกกำลังกาย+ปรับพฤติกรรมและท่าทาง) เพื่อลดการบาดเจ็บของข้อไหล่ซ้ำๆ และเพิ่มองศาการเคลื่อนไหวของข้อไหล่

อันตรายที่แฝงมากับรองเท้าส้นสูง

อันตรายที่แฝงมากับรองเท้าส้นสูง

ปัจจุบันแฟชั่นการแต่งตัวให้ดูดีเป็นสิ่งสำคัญ สาวๆในยุคสมัยนี้ให้ความสำคัญกับบุคลิกการแต่งตัวเป็นอันดับต้นๆ ก่อนออกจากบ้านต้องดูดี ซึ่งขาดไม่ได้เลยคือรองเท้าส้นสูงคู่ใจของใครหลายๆคน ที่จะเพิ่มความมั่นใจ รูปลักษณ์ให้ดูดีดูสง่า ซึ่งลืมไปว่าการสวมรองเท้าที่ดีและถูกต้องนั้นก็สำคัญเช่นกัน หากสวมรองเท้าส้นสูงทุกๆวันเป็นระยะเวลานานๆ  อาจจะส่งผลกระทบต่อร่างกายของเราโดยที่ไม่รู้ตัว

 

ข้อเสีย

1.ปวดเท้า  การสวมรองเท้าส้นสูงทำให้ทรงตัวลำบาก ลำตัวโน้มไปด้านหน้าส่งผลให้กระดูกเท้าต้องรับน้ำหนัก หากถูกบีบรัดจนเกินไปอาจส่งผลให้กระดูกและเส้นประสาทบริเวณฝ่าเท้าเกิดการอักเสบได้

2.ปวดน่องเอ็นร้อยหวายตึง  ในการสวมใส่รองเท้าเหมือนเป็นการยืนเขย่าตลอดเวลาจึงส่งผลให้บริเวณที่เป็นเอ็นร้อยหวายนั้นตึง เป็นสาเหตุที่ทำให้ปวดน่อง หรือเป็นตะคริว

3.ปวดเข่า  เสี่ยงเป็นโรคเข่าเสื่อมการเดินบนส้นสูงนั้นจะเกิดแรงกระแทกที่บริเวณข้อเข่า เข่าเป็นกระดูกข้อต่อที่ใหญ่ที่สุด ทำให้การรองรับความตึงเป็นระยะเวลานานนั้นอาจจะทำให้น้ำในไขข้อกระดูกลดลงจนเกิดเป็นรอยแตกทำให้ข้อเข่าเสื่อมและเสี่ยงต่อการเป็นโรคกระดุกพรุนได้

4.ปวดหลัง  การใส่ส้นสูงทำให้ช่วงลำตัวแอ่นไปด้านหน้า ซึ่งกระดูกสันหลังจะคดเป็นรูปตัว S หากเป็นในระยะเวลานานๆ ก็จะมีปัญหาปวดหลังตามมา

5.อุบัติเหตุ  การสวมรองเท้าส้นสุงนั้นมีโอกาสทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย เพราะต้องทรงตัวยืนบนรองเท้าที่มีความมั่นคงไม่แข็งแรง หากพื้นทางเดินขรุขระอาจะทำให้สะดุดหกล้มหรือข้อเท้าพลิกได้

6.โครงสร้างเท้าผิดรูป  การใส่รองเท้าส้นสูงที่บีบรัดแน่นเท้า เช่น รองเท้าที่มีหัวแคบ เป็นสายรัดหน้าเท้าของเราหากใส่เป็นเวลานานๆ กระดูกนิ้วเท้าที่โดนบีบรัดเป็นเวลานานก็จะทำให้ผิดรูปได้

 

 

 

อาการปวดหลังส่วนล่างในผู้หญิง เกิดจากสาเหตุใดได้บ้าง?

อาการปวดหลังส่วนล่างเป็นอาการที่พบได้บ่อยในผู้หญิงและสาเหตุของอาการนี้อาจเกิดจากหลายปัจจัย เช่น ท่าทางไม่ถูกต้อง, การเคลื่อนไหวผิดปกติ, การบาดเจ็บหรือโรคทางการแพทย์ และบางปัจจัยที่อาจส่งผลต่ออาการปวดหลังส่วนล่างในผู้หญิงได้ สาเหตุที่พบบ่อย มีดังนี้
1.การตั้งครรภ์: การถ่วงของครรภ์ที่อยู่ด้านหน้าเพิ่มขึ้น ส่งผลให้กระดูกสันหลังแอ่นเป็นเวลานาน และการแบกรับน้ำหนักตัวที่เพิ่มมากขึ้นซึ่งจะทำให้เกิดอาการปวด นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนระหว่างการตั้งครรภ์ โดยเฉพาะฮอร์โมนรีแลกซิน (Relaxin) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่สร้างมาจากรังไข่ขณะตั้งครรภ์ เพื่อช่วยกระตุ้นการคลายตัวเอ็นยึดกระดูกเชิงกรานให้คลอดง่ายขึ้น ซึ่งบางครั้งส่งผลให้มีอาการปวดหลังได้ รวมถึงเมื่ออายุครรภ์ 5 เดือนเป็นต้นไป ทารกจะดึงแคลเซียมจากกระแสเลือดคุณแม่ไปใช้ในการสร้างกระดูกและฟัน เป็นเหตุให้เกิดการกร่อนของกระดูก นำมาซึ่งอาการปวดหลังในที่สุด
2.รอบเดือน: เมื่อฮอร์โมนเอสโทรเจน(Estrogen)และโพรเจสเทอโรน (Progesterone) ลดระดับลงแล้ว มดลูกจะเริ่มหดตัวเพื่อขับเยื่อบุโพรงมดลูกออกมาเป็นเลือดประจำเดือน ซึ่งในผู้หญิงบางคน มดลูกอาจจะหดตัวเยอะมากจนไปกดเส้นเลือดในบริเวณใกล้เคียง ทำให้ออกซิเจนไม่สามารถไปหล่อเลี้ยงกล้ามเนื้อในบริเวณดังกล่าวได้มากเท่าที่ควร จึงส่งผลให้เกิดอาการปวดบริเวณท้องน้อย และลามมาถึงบริเวณหลังช่วงล่างได้
3.โรคกระดูกพรุน (Osteoporosis): มักพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย เนื่องจากฮอร์โมน เพศหญิงจะเห็นได้ชัดเจนในช่วง 5 ปีแรกของการหมดประจำเดือน ซึ่งในช่วงนั้นผู้หญิงจะมีการสูญเสียเนื้อกระดูกอย่างรวดเร็ว (3-5 เปอร์เซ็นต์ต่อปี เป็นเวลา 5 ปี ) หรือสูงถึง 15-25 เปอร์เซ็นต์ของกระดูกในร่างกาย การสูญเสียมวลกระดูก ทำให้กระดูกเสียคุณสมบัติการรับน้ำหนัก กระดูกเปราะ หักง่าย ส่งผลต่ออาการปวดหลังได้
4.Arthritis: การอักเสบของข้อต่อในกระดูกสันหลังสามารถก่อให้เกิดอาการปวดหลังส่วนล่างได้ พบบ่อยในผู้หญิงที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้น
5.การเคลื่อนไหวผิดวิธีหรือได้รับบาดเจ็บกล้ามเนื้อ: สาเหตุนี้สามารถเกิดจากการยกของหนักๆ หรือการงอตัวหรือหมุนตัวผิดวิธี รวมถึงท่าทางในการนั่งทำงานที่ไม่เหมาะสม ซึ่งอาจทำให้ปวดหลังส่วนล่างได้
6.ปัญหาโครงสร้างของกระดูกสันหลัง: ผู้หญิงที่มีโรคกระดูกสันหลังคด (scoliosis), โรคโพรงกระดูกสันหลังตีบแคบ (spinal stenosis) หรือปัญหาโครงสร้างอื่นๆ ในกระดูกสันหลังอาจมีโอกาสเกิดอาการปวดหลังส่วนล่างได้มากขึ้น
7.โรคหมอนรองกระดูกเคลื่อนทับเส้นประสาท (Herniation disc): สาเหตุอาจเกิดจากการยกของหนักในท่าที่ผิด ทำให้หมอนรองกระดูกสันหลังเกิดการปลิ้นหรือในแตก อาจส่งผลให้มีการกดทับเส้นประสาทบริเวณข้างเคียง เกิดอาการปวดหลังส่วนล่างหรือบางรายอาจมรอาการปวดร้าวลงขาร่วมด้วย
8.โรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (Endometriosis): โดยอาจแทรกตัวอยู่ในผนังหรือกล้ามเนื้อมดลูก หรืออาจเล็ดลอดเข้าไปในช่องท้องจนไปเจริญเติบโตอยู่ตามอวัยวะต่างๆในอุ้งชิงกราน เช่น เยื่อบุช่องท้อง รังไข่ ผนังลำไส้ และผนังกระเพาะปัสสาวะ เยื่อบุโพรงมดลูกที่เจริญผิดที่นี้ ถือเป็นปฏิกิริยาการอักเสบที่ขึ้นกับฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen-dependent, benign, inflammatory disease) เมื่อไปเจริญเติบโตอยู่ผิดที่ก็จะยังคงทำหน้าที่เช่นเดิม คือ สร้างประจำเดือน จึงทำให้มีเลือดสีแดงคล้ำหรือสีดำข้นคล้ายช็อกโกแลตขังอยู่ตามอวัยวะต่างๆ ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของอาการผิดปกติต่างๆที่พบได้ในผู้ป่วยโรคนี้ เช่น ปวดท้องลามไปถึงหลังส่วนล่าง ปวดประจำเดือน ปวดท้องน้อยเรื้อรัง และมีบุตรยาก
9.Fibromyalgia: เป็นกลุ่มอาการปวดเรื้อรัง โดยอาการปวดมักจะกระจายหลายจุดตามร่างกาย โดยเฉพาะที่เป็นตำเหน่ง ของกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น และเนื้อเยื่ออ่อนของร่างกาย บริเวณที่พบว่ามีอาการบ่อยคือ ศีรษะ คอ บ่า และหลัง บางรายปวดทั้งตัว นอกจากอาการปวดยังอาจมีอาการร่วมอื่นๆได้หลายอาการ ได้แก่ อาการอ่อนเพลีย นอนหลับไม่ สนิท สมาธิและความจำถดถอย รวมถึงความเครียดและอารมณ์ซึมเศร้า พบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย 8 เท่า พบมากในวัยกลางคนอายุระหว่าง 35-60 ปี
10.โรคนิ่วในไต (Kidney Stone):เกิดจากการตกตะกอนของสารในปัสสาวะ ในภาวะปติสารเหล่านี้จะละลายไม่จับตัวกันเป็นนิ่ว แต่ในผู้ที่เป็นโรคนิ่วจะมีภาวะที่ทำให้สารละลายต่างๆเกิดการตกตะกอนได้ง่ายกว่าปกติจนจับตัวเป็นก้อน หากเป็นนิ่วที่มีขนาดใหญ่ อาจทำให้เกิดอาการปวดหลัง ปวดเอวเรื้อรัง มีการติดเชื้อในระบบปัสสาวะ และทำทำไตสูญเสียการทำงานจนเกิดภาวะไตวายได้
11.ชีสต์รังไข่ (Cystic ovary): ซีสต์มีลักษณะเป็นถุงที่เต็มไปด้วยของเหลว ซึ่งสามารถก่อตัวขึ้นได้ในรังไข่ เมื่อเกิดการตกไข่ผิดปกติจะทำให้เกิดการคั่ง มีถุงน้ำในรังไข่ หรือไข่ไม่ตก ทำให้เกิดเป็นถุงน้ำขนาดเล็กในรังไข่ทั้งสองข้าง มักพบอาการปวดท้อง ปวดปัสสาวะบ่อยหรือปัสสาวะลำบาก เจ็บหรือปวดหลังส่วนล่าง ปวดประจำเดือนมากหรือมีเลือดออกผิดปกติ
12. ภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบ (Pelvic inflammatory disease :PID) หมายถึง ภาวะที่มีการติดเชื้อในระบบสืบพันธุ์เพศหญิงส่วนบน ได้แก่ มดลูก (endometritis) ท่อนำไข่ (salpingitis) รังไข่ (oophoritis) และเยื่อบุช่องท้องในอุ้งเชิงกราน (pelvic peritonitis) อาจก่อให้เกิดอาการปวดหลังล่าง รวมถึงอาการอื่นๆ เช่น ปวดท้องและไข้ โดยส่วนต่างๆของระบบสืบพันธุ์ของผู้หญิง อาจเกิดการติดเชื้อ จากเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส หรือจากเชื้อราและ อย่างไรก็ตาม หากมีอาการปวดหลังล่างหรืออาการอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับระบบสืบพันธุ์ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อการวินิจฉัยและการรักษาเพิ่มเติม
13.มะเร็ง (Cancer): ในกรณีที่หากพบว่ามีอาการปวดหลังส่วนล่างอย่างรุนแรงและไม่สามารถอธิบายได้ว่ามาจากสาเหตุใด น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ อาจจะเกิดจากมะเร็งที่กระจายไปยังกระดูกสันหลังหรือเนื้อเยื่อใกล้เคียงได้
14.ภาวะน้ำหนักเกิน (Obesity): ในผู้ที่มีภาวะน้ำหนักเกินมาตรฐานส่งผลให้กระดูกสันหลังรับน้ำหนักมากกว่าคนปกติ โดยเฉพาะผู้ที่มีภาวะอ้วนลงพุง น้ำหนักที่มากขึ้นบวกกับพุงที่ยื่นมาด้านหน้า ทำให้กล้ามเนื้อหลังออกแรงดึงมากขึ้น หลังแอ่นมาก และหากต้องดึงเป็นเวลานานๆ จะส่งผลให้หมอนรองกระดูกรับน้ำหนักไม่สมดุลกัน อาจเคลื่อนหรือปลิ้นทับเส้นประสาท ส่งผลให้เกิดหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท กระดูกสันหลังเสื่อมเร็ว ปวดหลังเรื้อรังร้าวลงไปขา บางครั้งอาจมีการอ่อนแรงร่วมด้วย
15.ปัจจัยทางจิตวิทยา: ความเครียด ความวิตกกังวล และภาวะซึมเศร้า สามารถทำให้เกิดอาการปวดหลังส่วนล่างได้ในผู้หญิงเมื่อความเครียด กล้ามเนื้อเกร็งตัวโดยที่เราไม่รู้ตัวและความกังวลจะกระตุ้นให้ร่างกายเกิดความเครียด ร่างกายจึงหลั่งสารเคมีแห่งความเครียดออกไปสู่กล้ามเนื้อ เมื่อเกิดการสะสมากๆ ก็จะเกิดอาการปวดตามมาได้ เช่น ปวดหลัง, ไหล่และคอ เป็นต้น

วิธีการรักษาอาการปวดหลังล่างในผู้หญิงจะขึ้นอยู่กับสาเหตุของโรค และอาจรวมถึงการใช้ยารักษาอาการปวด กายภาพบำบัด การออกกำลังกาย และการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม เช่น การลดน้ำหนักและเลิกสูบบุหรี่ ในบางกรณีอาจจำเป็นต้องผ่าตัด เช่น ในกรณีของการทำลายเส้นประสาทสันหลังหรือกระดูกสันหลังแตกอย่างรุนแรง จึงจำเป็นต้องปรึกษาแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับอาการและความกังวลที่อาจมีเสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการปวดหลังส่วนล่างได้