คลินิกกายภาพบำบัด บางพลัด MRT สิรินธร

สาเหตุของการปวดเข่า (Knee pain)

ปวดเข่าเป็นอาการที่สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ดังนี้:

  1.       อุบัติเหตุ: เป็นอีกสาเหตุที่ทำให้ข้อเข่าได้รับบาดเจ็บ เช่น การตกหรือกระแทกข้อเข่า, การเล่นกีฬาที่เกิดการกระแทก เป็นต้น
  2.     ข้อเข่าเสื่อม (Osteoarthritis): เป็นโรคที่เกิดจากการสึกกร่อนของกล้ามเนื้อและกระดูกข้อเข่า ทำให้ข้อเข่าอ่อนแรงและปวด
  3.     เข่าด้านในอักเสบ(Knee Bursitis): การอักเสบของถุงน้ำในข้อเข่าสามารถทำให้เกิดการปวดเข่า
  4.       เอ็นหัวเข่าอักเสบ (Knee Tendonitis): การอักเสบของเส้นเอ็นที่เชื่อมต่อกล้ามเนื้อกับกระดูกข้อเข่า
  5.       การบิดเข่าหรือเคล็ดเข่า (Knee Sprain): การบิดหรือการเคล็ดของข้อเข่าสามารถทำให้เกิดการบาดเจ็บและปวดเข่าได้
  6.       เก๊าท์ (Gout):โรคเก๊าท์ (Gout) เป็นโรคที่เกิดขึ้นเมื่อมีการสะสมของกรดยูริกในร่างกาย โรคนี้มักเกิดขึ้นในข้อต่างๆ ของร่างกาย แต่มักพบมากที่สุดในข้อปลายเท้า (big toe) โดยส่วนใหญ่เกิดขึ้นที่ข้อเท้า
  7.       การบาดเจ็บของเส้นเอ็นที่อยู่บริเวณต้นขาด้านนอกเชื่อมกล้ามเนื้อบริเวณด้านข้างและกล้ามเนื้อก้นด้านข้างยาวลงมาผ่านเข่า (Iliotibial Band Syndrome): การใช้งานมากของเส้นเอ็นอาจทำให้เกิดการอักเสบและปวดเข่า
  8.       โรคอื่นๆ: การปวดเข่ายังสามารถเกิดขึ้นจากโรคอื่นๆ เช่น โรคข้อเข่าโดยเฉพาะ (Rheumatoid Arthritis), การติดเชื้อ, หรืออาการอื่นๆ ที่มีผลต่อข้อเข่า

การรักษาอาการปวดเข่าจะขึ้นอยู่กับสาเหตุของอาการ การปรึกษาแพทย์เป็นสิ่งสำคัญเพื่อวินิจฉัยและรับคำแนะนำเกี่ยวกับการรักษาที่เหมาะสม เช่น การพบแพทย์อาจแนะนำการฝึกหัดกล้ามเนื้อและกำจัดอาการอักเสบด้วยยาต้านอักเสบหรือรักษาแบบศัลยกรรมเมื่อจำเป็น

การรักษาปวดเข่าสามารถทำได้หลายวิธี เช่น

  1. กายภาพบำบัด: แพทย์หรือนักกายภาพบำบัดจะสามารถตรวจประเมินร่างกาย และให้การรักษาทางกายภาพบำบัด  รวมถึงแนะนำการทำกิจกรรมที่เหมาะสมเพื่อป้องกันการปวดเข่าที่เพิ่มมากขึ้นและเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อข้อเข่าเพื่อลดแรงกระทำต่อข้อเข่าขณะทำกิจกรรม หรือกิจวัตรประจำวันได้ 
  2. การใช้ยา: การใช้ยาลดปวด เช่น ยาระงับปวด (pain relievers) หรือยาต้านอักเสบ (anti-inflammatory drugs) อาจช่วยลดอาการปวดเข่าและการอักเสบของข้อเข่า
  3. การสวมอุปกรณ์ช่วยพยุงข้อเข่า : การใช้เข่าเสริมหรืออุปกรณ์ช่วยพยุงอื่นๆ เช่น knee support สามารถช่วยลดแรงที่กระทำต่อข้อเข่าที่มากเกินไป ช่วยพยุงข้อเข่าไม่ให้มีการบาดเจ็บซ้ำในผู้ที่ได้รับการบาดเจ็บบริเวณข้อเข่า หรือช่วยกระชับข้อเข่า เพิ่มความมั่นคงให้กับข้อเข่า และบรรเทาอาการปวดได้
  4. การแก้ไขรูปแบบการเดิน: หากรูปแบบการเดินของคุณไม่ถูกต้อง กายภาพบำบัดอาจช่วยปรับปรุงรูปแบบการเดินเพื่อลดแรงที่กระทำต่อข้อเข่าได้ 
  5. การผ่าตัด: ในกรณีที่มีความเสี่ยงสูงหรืออาการรุนแรงมาก แพทย์อาจแนะนำการผ่าตัดข้อเข่าเพื่อซ่อมแซมหรือใส่อุปกรณ์เทียมแทนข้อเข่าที่เสื่อมสภาพ
  6. การบริหารสุขภาพรวม: การรักษาสุขภาพทั่วไป เช่น การควบคุมน้ำหนัก, การออกกำลังกายอย่างเหมาะสม, และการบริหารสตรีอย่างดี สามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดปัญหาข้อเข่าได้

การรักษาปวดเข่าขึ้นอยู่กับสาเหตุและระดับความรุนแรงของปัญหา ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและแผนการรักษาที่เหมาะสมสำหรับอาการปวดของแต่ละบุคคลและควรรักษาตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดเพื่อป้องกันอันตรายและฟื้นฟูสภาพข้อเข่าให้ดีขึ้นได้อย่างเหมาะสม 

การทำกายภาพบำบัดถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ที่ไม่อยากผ่าตัด ด้วยเครื่องมือทางกายภาพบำบัดไม่ว่าจะเป็น TECAR,Shockwave,High power laser, Ultrasound,PMS,Electrical Stimulation รวมถึง Manual technique ต่างๆ  และคำแนะนำการปฏิบัติท่าทางที่เหมาะสม เพื่อบรรเทาอาการปวด ป้องกันการบาดเจ็บของข้อเข่าที่อาจเพิ่มขึ้นจากการใช้ชีวิตประจำวัน และฟื้นฟูกล้ามเนื้อให้แข็งแรงมากขึ้น 

ติดต่อเรา

Tel:098 225 2255

Facebook:Bangkok pain clinic คลินิกกายภาพบำบัด

Gmail:bangkokpainclinic@gmail.com

Website:bangkokpainclinic.com

 

 

อันตรายที่แฝงมากับรองเท้าส้นสูง

อันตรายที่แฝงมากับรองเท้าส้นสูง

ปัจจุบันแฟชั่นการแต่งตัวให้ดูดีเป็นสิ่งสำคัญ สาวๆในยุคสมัยนี้ให้ความสำคัญกับบุคลิกการแต่งตัวเป็นอันดับต้นๆ ก่อนออกจากบ้านต้องดูดี ซึ่งขาดไม่ได้เลยคือรองเท้าส้นสูงคู่ใจของใครหลายๆคน ที่จะเพิ่มความมั่นใจ รูปลักษณ์ให้ดูดีดูสง่า ซึ่งลืมไปว่าการสวมรองเท้าที่ดีและถูกต้องนั้นก็สำคัญเช่นกัน หากสวมรองเท้าส้นสูงทุกๆวันเป็นระยะเวลานานๆ  อาจจะส่งผลกระทบต่อร่างกายของเราโดยที่ไม่รู้ตัว

 

ข้อเสีย

1.ปวดเท้า  การสวมรองเท้าส้นสูงทำให้ทรงตัวลำบาก ลำตัวโน้มไปด้านหน้าส่งผลให้กระดูกเท้าต้องรับน้ำหนัก หากถูกบีบรัดจนเกินไปอาจส่งผลให้กระดูกและเส้นประสาทบริเวณฝ่าเท้าเกิดการอักเสบได้

2.ปวดน่องเอ็นร้อยหวายตึง  ในการสวมใส่รองเท้าเหมือนเป็นการยืนเขย่าตลอดเวลาจึงส่งผลให้บริเวณที่เป็นเอ็นร้อยหวายนั้นตึง เป็นสาเหตุที่ทำให้ปวดน่อง หรือเป็นตะคริว

3.ปวดเข่า  เสี่ยงเป็นโรคเข่าเสื่อมการเดินบนส้นสูงนั้นจะเกิดแรงกระแทกที่บริเวณข้อเข่า เข่าเป็นกระดูกข้อต่อที่ใหญ่ที่สุด ทำให้การรองรับความตึงเป็นระยะเวลานานนั้นอาจจะทำให้น้ำในไขข้อกระดูกลดลงจนเกิดเป็นรอยแตกทำให้ข้อเข่าเสื่อมและเสี่ยงต่อการเป็นโรคกระดุกพรุนได้

4.ปวดหลัง  การใส่ส้นสูงทำให้ช่วงลำตัวแอ่นไปด้านหน้า ซึ่งกระดูกสันหลังจะคดเป็นรูปตัว S หากเป็นในระยะเวลานานๆ ก็จะมีปัญหาปวดหลังตามมา

5.อุบัติเหตุ  การสวมรองเท้าส้นสุงนั้นมีโอกาสทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย เพราะต้องทรงตัวยืนบนรองเท้าที่มีความมั่นคงไม่แข็งแรง หากพื้นทางเดินขรุขระอาจะทำให้สะดุดหกล้มหรือข้อเท้าพลิกได้

6.โครงสร้างเท้าผิดรูป  การใส่รองเท้าส้นสูงที่บีบรัดแน่นเท้า เช่น รองเท้าที่มีหัวแคบ เป็นสายรัดหน้าเท้าของเราหากใส่เป็นเวลานานๆ กระดูกนิ้วเท้าที่โดนบีบรัดเป็นเวลานานก็จะทำให้ผิดรูปได้

 

 

 

นิ้วล๊อก สาเหตุ อาการ การดูแลตัวเอง

นิ้วล๊อก

การหมดความไวต่อการสัมผัสของเนื้อเยื่อของนิ้วมือหรือนิ้วเท้าเรียกว่านิ้วล็อก (Trigger finger) สาเหตุสำคัญของโรคนี้เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงในเนื้อเยื่อรอบข้อนิ้ว โดยที่เนื้อเยื่อนี้มักเกิดการติดตัวกันหรือหดตัว ทำให้เกิดการหยุดชะงักในการเคลื่อนไหวของนิ้ว เมื่อพยายามงอหรือเหยียดนิ้วให้เหยียดตรง จะมีการสะดุดเป็นครั้งคราว และเมื่อเนื้อเยื่อหยุดติดตัวกันเพิ่มขึ้นนั้นจะทำให้มีการหลั่งสารน้ำเลี้ยงไม่เพียงพอ เนื่องจากเนื้อเยื่อมีการบวม อาการของนิ้วล็อกมักเกิดขึ้นในผู้ที่มีการใช้งานนิ้วมืออย่างต่อเนื่อง หรือในผู้ที่มีโรคเส้นเอ็นตับอักเสบหรือโรคระบบไตเสื่อมทราบถึงอาการนี้ได้บ่อยเพราะเกี่ยวข้องกับภาวะการติดเชื้อของเนื้อเยื่อต่างๆ ในร่างกาย

อาการของนิ้วล็อก (Trigger finger) จะมีลักษณะดังนี้

  1. ปวดเมื่องอนนิ้ว และปวดเมื่อใช้งานนิ้ว
  2. มีเสียงดังตอนงอหรือเหยียดนิ้ว
  3. นิ้วเหยียดไม่ออกเป็นปกติ หรือมีการสะดุดเป็นครั้งคราวตอนงอหรือเหยียด
  4. มีผื่นแดงหรือบวมเล็กน้อยบริเวณบริเวณข้อนิ้ว
  5. หากเนื้อเยื่อหยุดติดกันหนักขึ้น อาจเกิดอาการหยุดชะงักของนิ้วและต้องใช้มืออีกมือหรือใช้ความแรงเพิ่มเติมเพื่อเคลื่อนไหว

หากมีอาการดังกล่าวควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม โดยแพทย์อาจสั่งการฝึกอบรมการกดนิ้วและแนะนำการใช้แก้มนิ้วเพื่อช่วยลดอาการบวมและปวดของนิ้วล็อกได้บ้าง ในกรณีที่อาการรุนแรงและไม่ดีขึ้น อาจจะต้องพิจารณาการรักษาด้วยการผ่าตัด ซึ่งจะได้รับคำแนะนำและวิธีการดังกล่าวจากแพทย์ที่ทำการตรวจวินิจฉัยให้

Office Syndrome กับ อาการนิ้วล๊อก

การใช้สมาร์ทโฟนบ่อยๆ อาจทำให้เกิดอาการนิ้วล็อก (Trigger finger) ได้ โดยเฉพาะกับคนที่ใช้สมาร์ทโฟนในท่าที่ไม่ถูกต้อง เช่น การใช้นิ้วหัวแม่มือเพื่อกดปุ่มหรือแตะหน้าจออย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวซ้ำซ้อนในเมื่อเวลานาน และอาจทำให้เกิดการอักเสบของเนื้อเยื่อบริเวณข้อนิ้ว

การใช้สมาร์ทโฟนไม่ใช่สาเหตุหลักในการเกิดนิ้วล็อก แต่อาจเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดอาการนิ้วล็อก เพราะการใช้สมาร์ทโฟนตลอดเวลาสามารถทำให้มีการเคลื่อนไหวซ้ำซ้อนของนิ้วเป็นระยะเวลานานๆ

การป้องกันการเกิดนิ้วล็อกจากการใช้สมาร์ทโฟน สามารถทำได้โดยการใช้นิ้วหัวแม่มือหรือนิ้วก้อยที่ไม่ได้ใช้บ่อยมากในการกดปุ่มหรือแตะหน้าจอ รวมถึงการปรับเปลี่ยนท่าที่ใช้ในการใช้สมาร์ทโฟน โดยหลีกเลี่ยงการใช้สมาร์ทโฟนเป็นเวลานานๆ และมีการพักผ่อนนิ้วบ่อยๆ รวมถึงการฝึกท่าบริหารนิ้วเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อในพื้นที่ของนิ้วและข้อนิ้ว

การรักษานิ้วล๊อก (Trigger finger) สามารถทำได้หลายวิธี ซึ่งจะขึ้นอยู่กับความรุ่งเรืองของอาการ แต่วิธีการรักษาที่พบมากที่สุดคือการใช้ยาและการฝึกหัด ดังนี้

  1. การใช้ยา
  • ยาแก้ปวด: ช่วยบรรเทาอาการปวดและอาการอักเสบ ได้แก่ พาราเซตามอล หรืออีบูโพรเฟน
  • ยาต้านการอักเสบ: ช่วยลดการอักเสบ และช่วยเร่งการฟื้นฟูของเนื้อเยื่อ
  1. การฝึกหัด การฝึกหัดจะช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อและเพิ่มความยืดหยุ่นของเนื้อเยื่อ ซึ่งจะช่วยลดอาการนิ้วล๊อกได้ วิธีการฝึกหัด ได้แก่
  • การออกกำลังกายเบาๆ ด้วยการงอนิ้วมือ
  • การออกกำลังกายด้วยบีบนิ้วมือโดยใช้โฟมอ่อน หรือบริเวณอ่อนของเปลือกตะขอ
  1. การผ่าตัด กรณีที่อาการนิ้วล๊อกไม่ดีขึ้นหลังจากการใช้ยาและการฝึกหัด แพทย์อาจต้องพิจารณาการผ่าตัด โดยการผ่าตัดจะช่วยปลดปล่อยเนื้อเยื่อที่เป็นสิว และทำให้นิ้วล๊อกกลับมาทำงานได้ปกติ